วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เรื่องน่ารู้ : เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยศิลปากร #2


สัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัย

พระพิฆเนศวร เทพเจ้าแห่งศิลปวิทยาการและการประพันธ์ประทับบนเมฆ พระหัตถ์ขวาบนถือตรีศูล พระหัตถ์ขวาล่างถืองาช้าง พระหัตถ์ซ้ายบนถือปาศะ (เชือก) พระหัตถ์ซ้ายล่างถือครอบน้ำ ประทับบนลวดลายกนก ภายใต้มีอักษรว่า "มหาวิทยาลัยศิลปากร" ประกาศใช้เมื่อ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2494
สีประจำมหาวิทยาลัย
เขียวเวอร์ริเดียน เป็นสีของน้ำทะเลระดับลึกที่สุด
เพลงประจำมหาวิทยาลัย
· -
Santa Lucia เป็นเพลงพื้นเมืองของประเทศอิตาลี แต่งขึ้นในราวศตวรรษที่ 19 เป็นบทเพลงที่แต่งขึ้นเพื่อชมความงามของชายหาดที่มีชื่อเสียงของเมืองเนเปิลส์ นอกจากนี้ เพลง Santa Lucia ยังเป็นเพลงประจำมหาวิทยาลัยศิลปากรอีกด้วย สืบเนื่องจาก ศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากร ท่านเป็นชาวอิตาลี ซึ่งมีชื่อเดิมว่า คอร์ราโด เฟโรชี (Corrado Feroci) และชอบร้องเพลงนี้บ่อย ๆ เวลาทำงาน หลังจากนั้น คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ ได้นำทำนองเพลงนี้ มาใส่เนื้อร้องภาษาไทย โดยใช้ชื่อเพลงว่า "ศิลปากรนิยม"
· -
กลิ่นจัน

วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เรื่องน่ารู้ : เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยศิลปากร #1




มหาวิทยาลัยศิลปากร เดิมคือ โรงเรียนปราณีตศิลปกรรม สังกัดกรมศิลปากร ท่านศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี (เดิมชื่อ Corrado Feroci) ชาวอิตาเลียน ซึ่งเดินทางมารับราชการในประเทศไทย ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ร่วมกับคุณพระสาโรช รัชตมินมานก์ (สาโรช สุขยางค์) ท่านทั้งสองได้ก่อตั้งโรงเรียนปราณีตศิลปกรรมขึ้นในปีพ.ศ. 2476 ใช้พื้นที่วังกลาง และวังตะวันออก หน้าพระบรมมหาราชวังเป็นที่ตั้งของโรงเรียนแห่งนี้ เปิดสอนให้แก่ข้าราชการและนักเรียนในสมัยนั้นโดยไม่เก็บค่าเล่าเรียน ต่อมาปีพ.ศ. 2478 ได้รวมเอาโรงเรียนนาฏยดุริยางคศาสตร์ ที่ตั้งอยู่วังหน้าไว้ด้วย และเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า “โรงเรียนศิลปากร”
โรงเรียนศิลปากรได้เจริญเติบโตเป็นลำดับเรื่อยมา จนกระทั่ง
พระยาอนุมานราชธนร่วมกับอาจารย์ศิลป์ พัฒนาหลักสูตรจนได้รับการยกฐานะขึ้นเป็น มหาวิทยาลัยศิลปากร เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2486 จัดตั้ง คณะจิตรกรรมและประติมากรรม ขึ้นเป็นคณะวิชาแรก (ปัจจุบันคือคณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์) ในปี พ.ศ. 2498 อาจารย์ศิลป์ผลักดันให้เกิดคณะวิชาใหม่ คือ คณะสถาปัตยกรรมไทยซึ่งมี พระพรหมพิจิตร (อู๋ ลาภานนท์) เป็นผู้ก่อตั้ง (ซึ่งต่อมาได้ปรับหลักสูตรและเปลี่ยนชื่อเป็น คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์) คณะโบราณคดี วางรากฐานโดยหลวงบริบาล บุรีภัณฑ์ และต่อมาจึงมี คณะมัณฑนศิลป์ ซึ่งแยกตัวออกมาจากคณะจิตรกรรมฯ จากนั้นได้ขยายพื้นที่มหาวิทยาลัยโดยได้จัดซื้อที่ดินวังท่าพระซึ่งอยู่ติดกับที่ตั้งเดิมจากทายาทสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ต่อมาเมื่อผู้แทนขององค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมของสหประชาชาติได้ให้คำแนะนำในการจัดตั้ง สถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทยให้มีลักษณะสอดคล้องกับหลักการสากล คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาโครงการปรับปรุงมหาวิทยาลัยศิลปากร เพื่อขยายการศึกษาวิชาต่าง ๆ โดยไม่จำกัดเฉพาะศิลปะและโบราณคดีเท่านั้น ศาสตราจารย์ หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปากร จึงได้ ดำเนินการจัดตั้งคณะอักษรศาสตร์ขึ้นเป็นคณะวิชาลำดับที่ 5 และเป็นคณะวิชาแรกของวิทยาเขตแห่งใหม่ คือ วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ ณ จังหวัดนครปฐม โดยเริ่มเปิดสอนนักศึกษารุ่นแรก เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2511 และคณะอักษรศาสตร์ได้ถือวันดังกล่าวเป็นวันสถาปนาคณะฯ ตลอดมา

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เรื่องน่ารู : อ่านหนังสือหนัก เพลียและล้า มีวิธีแก้จ้า


1.แก้ร่างกายเมื่อยขบ เปลี้ยล้า
ใช้การบริหารร่างกาย หรือวิธีโยคะเข้าช่วย เช่น บิดตัวไปทางซ้าย หมุนกลับมาทางขวาช้า ๆ เมื่อยคอให้เงยหน้าช้า ๆ ขึ้นลงหลาย ๆ ครั้ง อาจใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดทั่วใบหน้าและลำคอแรง ๆ แล้ว นวดบางจุดเบา ๆ หรือใช้น้ำลูบหน้าหากอยู่ที่บ้านอาจใช้วิธีดัดตน เช่น นั่งคุกเข่าข้างฝาห้อง หันหน้าออกก้มหัวยันพื้นใช้เท้าไต่ขึ้นบนฝาผนังห้อง จนตัวตั้งตรง ปล่อยเท้าทีละข้างให้เอนไปข้างหน้าช้า ๆ สลับไปมาเลือดจะเข้าสมองมากขึ้น ออกซิเจน จะไปเลี้ยงเซลล์ประสาท เพิ่มขึ้นช่วยแก้ความเปลี้ยล้าได้มาก

2.แก้ความง่วง เบื่อ ไม่อยากอ่าน
ใช้การหายใจช่วย ครั้งแรงพ่นอากาศออกจากปอดผ่านจมูกให้แรงที่สุด จนหมดสิ้นห่อปากให้เป็นรูเล็ก ๆ แล้วพ่นอากาศเสียที่หลงเหลืออยู่ออกไปจนหมด ค่อย ๆ สูดอากาศดีผ่านจมูกเข้าปอดช้า ๆ อาจนับ 1 ถึง 15 ช้า ๆ ให้อากาศอัดแน่น เต็มปอดจนสุดจะหายใจเข้าได้อีก แล้วหายใจออกช้า ๆ เหมือนข้างต้น ทำดังกล่าว 2-3 ครั้ง จะแก้ความง่วง เบื่อการอ่านลงไปได้ (แนะนำว่าถ้าง่วงมากๆ ก็อย่าฝืนนะคะ เพราะหากเรารู้สึกทึบ ๆ หรือไม่สบายในวันสอบก็ทำข้อสอบไม่ได้ดีหรอกค่ะ ให้ฟุบลงซักพัก หรือนอนพักสักชั่วโมงสองชั่วโมงก็ดีนะคะ)
3.แก้ความเปลี้ยของการใช้สายตา
เมื่อใช้สายตานานควรพักเสียบ้าง ให้มองสิ่งที่อยู่ไกลโล่ง ๆ ดูยอดไม้เขียว ๆ มองภาพหรือทิวทัศน์ (ทัศนียภาพ) ที่ห่างออกไปมาก ๆ ถ้าเป็นเวลากลางคืน ให้มองท้องฟ้า ดูดาวอันระยิบระยับ กล้ามเนื้อตาจะค่อย ๆ คลายตัว ถ้าอยู่ในห้องใช้การมองผนังห้องติดรูปภาพทิวทัศน์ต่าง ๆ จะช่วยได้มาก หรือดูทิวทัศน์จากหน้าต่าง มองให้ไกลออกไปให้เต็มที่ (เต็มตา) แล้วหลับตา ทำจิตให้สงบสร้างสมาธิด้วยการหายใจเข้าออกช้า ๆ หายใจเข้าให้เต็ม (ปอด) หายใจออกให้หมด จะช่วยแก้ความเปลี้ยและอาการปวดตาลงได้

วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เรื่องน่ารู้ : เทคนิค การจำศัพท์ภาษาอังกฤษ ให้ขึ้นใจ

1.จัดศัพท์เป็นหมวดหมู่ เช่น คำที่มีความสัมพันธ์กัน หรือมีความหมายตรงข้ามกัน จะช่วยให้จำศัพท์ได้ง่ายขึ้น อาจจดบันทึกใส่สมุดที่พกพาได้ เพื่อความสะดวกเมื่อต้องหยิบมาท่องในเวลาว่าง
2.นำศัพท์มาใช้บ่อย ๆ ทำให้เกิดความเคยชิน จะจำได้แม่นยำขึ้น จากนั้นลองแต่งประโยคจากคำเหล่านั้น เพื่อฝึกการเรียบเรียงประโยค
จำศัพท์จากการออกเสียง อาทิ คำที่ออกเสียงคล้าย ๆ กัน นอกจากจะช่วยให้นึกถึงความหมายได้ง่ายแล้ว ยังได้รู้หลักการออกเสียงที่ถูกต้อง
3.ท่องศัพท์ทุกวัน อย่างน้อยวันละ 10 คำ และหมั่นทบทวนบ่อย ๆ ให้คุ้นเคย หากมีโอกาสสนทนากับคนพูดภาษาอังกฤษ ควรลองนำศัพท์ไปใช้ในสถานการณ์จริง
4.ฝึกฟัง-อ่านภาษาอังกฤษจากข่าวหรือหนังสือต่าง ๆ แล้วสังเกตหาศัพท์ที่เคยท่อง จะช่วยให้เข้าใจเรื่องราวโดยรวมของเรื่องที่อ่านได้เร็วขึ้น
อย่าลืม เจอฝรั่ง เข้าไปทักทายบ่อยๆ ก็เป็นการฝึกภาษาอังกฤษอีกแบบ :)

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เรื่องน่ารู้ : 7 มารยาทที่คุณห้ามทำในต่างประเทศ ไม่งั้นคุณอาจตายได้

อันดับ 1 ห้าม "OK" ที่บราซิล (Give the "OK" Sign in Brazil)
สากล:ตกลง!! โอเค
บราซิล:ฮายบราซิล!! ฉันคือ ริชาร์ด นิกสัน (Richard Nixon) ของ USA ฉันกำลังจะไปแตะผ่าหมากคุณแล้ว
บราซิล คือดินแดนแห่งสาวสวย หาดทรายขาว และวัฒนธรรมเปิดกว้างเป็นมิตร แต่ถ้าคุณทำมือโอเคแก่ชาวบราซิลละก็ จากมิตรจะกลายเป็นศัตรูทันใด!!
ในบราซิลการทำมือ โอเคหรือตกลงนั้นไม่ควรนำมาใช้อย่างยิ่งเพราะการทำมือ "ตกลง" เป็นการแสดงอากัปกิริยาเทียบเท่าได้กับ"ฟักยู" ในอเมริกา(โชว์นิ้วกลาง)
เราไม่รู้ว่าประวัติของการห้ามทำสัญญามือของบราซิลนี้มีที่มาอย่างไร แต่มันก็เคยเกือบเป็นปัญหาประทศมาแล้วเมื่อ ปี 50 นิกสันมายืนอเมริกาและในขณะก้าวจากเครื่องบิน ฝูงชนรัวกล้องถ่ายรูปประชิดตัว และขณะนิกสันกำลังก้าวไปขึ้นรถนั้นเอง เขาก็ทำมือโอเคทักทายต่อหน้ากล้องและประธานาธิปตรีคนแรกของบราซิล แน่นอนคนบราซิลก็นึกว่านิกสันจะเตะผ่าหมากคนทั้งบราซิล
สรุปก็คือการมาเยือนของนิกสันในบราซิลครั้งนี้ก็คือการถูกต้อนรับด้วยปัสสาวะ,อึ ที่กระหนำปาใส่รถลีมูซีนที่ท่านนั่งอยู่ตลอดสองข้างทาง.......
ในประเทศจีน ถ้าคุณกินหมดจนคำสุดท้าย มันแปลว่าเขาให้อาหารคุณไม่พอกิน เพราะงั้น ไม่ว่าอาหารนั้นจะอร่อยแค่ไหน คุณก็ต้องกินเหลือไว้อย่างน้อยคำหนึ่งเสมอ และในจีน ถ้าคุณกินไปคุยไป (คุยในขณะที่อาหารเต็มปาก) และถึงกับเรอเมื่ออิ่มนั้น เป็นมารยาทดีสุด ๆ



อันดับ 2 ห้ามให้ของขวัญด้วยมือซ้ายข้างเดี่ยวในบางประเทศ ( Give a Gift With Your Left Hand, Pretty Much Anywhere)
สากล: ฉันมาแสดงความยินดีกับงานแต่งลูกสาวของคุณ เธอสวยมาก ฉันขอมอบของขวัญให้แก่ลูกสาวของคุณ เพราะฉันรักคุณ (ส่งด้วยมือซ้าย)
บางประเทศ: (อีกฝ่ายคิด)ฉันมาแสดงความยินดีกับงานแต่งลูกสาวของคุณ เธอไร้ค่ามาก เหมือนอาเจียนของสุนัขที่ฉันไปเจอมา ฉันขอมอบของขวัญนี้ให้ เพราะฉันเกลียดคุณ(ว่ะ)
ในบางประเทศถือได้ว่ามือซ้ายเป็นมือที่สกปรก โสโครก เพราะเรามักใช้มือซ้ายจับได้สิ่งที่ไม่ดีหลายอย่าง เช่นเรามักใช่มือซ้ายในการชำระล้างสิ่งปฏิกูลเวลาเข้าส้วม(สำหรับคนถนัดขวานะ,ลูบหน้า,นอกจากนั้นในบางวัฒนธรรมในบางประเทศเชื่อว่าคนถนัดซ้ายคือสมุนของซาตาน ส่วนคนถนัดขวาคือมนุษย์ ซึ่งในหลายประเทศที่ห้ามส่งของขวัญด้วยมือซ้ายก็มี อินเดีย,แอฟริกา, ศรีลังกา,ประเทศตะวันออกกลาง
พูดถึงการให้ของขวัญแก่คนต่างประเทศนี้ก็มีข้อความรู้อีกเยอะ เช่น อย่าใช้กระดาษขาวมาห่อของขวัญแก่คนจีน, อย่าให้ดอกไม้สีขาวแก่ชาวบังคลาเทศ ซึ่งมันอาจเป็นมารยาทเล็กๆ ที่คุณอาจต้องรู้ไว้เวลาจะถูกมิตรกับคนต่างชาติ เพราะคนต่างชาติไม่มองคุณเป็นคนขี่ม้าที่สี่ของบันทึกทางศาสนาของยิวแน่นอน(กษัตริย์ทั้งสี่ในศาสนาคริสต์ที่มอบของขวัญแก่พระเยซูคริสต์ในช่วงประสูติ)




อันดับ 3 ห้ามให้ดอกไม้เลขคู่ในรัสเซีย (Give an Even Number of Flowers in Russia)
สากล: "ฉันชอบเสน่ห์ของเธอเหลือเกิน มันเลยขอมอบดอกไม้ให้แทนความรู้สึกของเรา
รัสเซีย: "ตาย! ตาย! ตาย! อ๊าคคคคคคคคคคคค"
ในรัสเซียดอกไม้จำนวนเลขคู่นั้นใช้ในงานศพเท่านั้นนะครับ และแน่นอนเกิดขึ้นเอาดอกไม้จำนวนคู่เป็นของขวัญให้คนรัสเซียละก็มีหวังได้เห็นหมัดแน่นอน เพราะมันเหมือนกับเราแช่งให้เขาตายเร็วๆ เวลาจะให้ดอกไม้แก่คนรัสเซียควรให้ดอกไม้เลขคี่ดีกว่าและคนรัสเซียก็ไม่ให้ความสำคัญแก่สีของดอกไม้มากนัก
พูดถึงรัสเซีย รัสเซียนี้มีประวัติวัฒนธรรมประเพณีที่ยาวนาน ถ้าเราศึกษาดีๆ จะพบข้อที่ห้ามทำนรัสเซียอยู่เยอะ เช่น ไม่ควรจับมือหรือหอมแก้มทักทายที่ประตูทางเข้าบ้าน,ห้ามปฏิเสธการดื่มอวยพร,เวลาไปเยี่ยมต้องเอาของที่ระลึกเป็นให้เจ้าภาพด้วย เป็นต้น



อันดับ 4 ห้ามพบปะสนทนากับเพศตรงข้ามในซาอุดิอาระเบียโดยเปิดเผยต่อหน้าคนอื่น (Say "Hi" to a Member of the Opposite Sex in Saudi Arabia)
สากล: "สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จัก"
ซาอุฯ: "สวัสดี ตอนนี้คุณมีความผิดฐานร่วมประเวณีผิดศิลธรรมของประเทศเราแล้วละ ชื่อของคุณจะอยู่แฟ้มประวัติอาชญากรรมแน่นอน"
ซาอุดิอาระเบียมี กฎหมายที่เคร่งศาสนาเพื่อป้องกันการผิดศีลธรรมต่างๆ นาๆ คุณอาจเห็นกฎหมายห้ามชายและหญิงมีชู้, ผู้หญิงต้องรักนวลสงวนตัว(มันก็ดีนี้น่า) แต่ถ้าใครละเมิดอาจจะได้รับบทลงโทษที่แสนรุนแรงตามมาแน่นอน หนึ่งในนั้นก็มีกฎหมายห้ามผู้หญิง(รวมถึงผู้หญิงต่างชาติ)จับมือทักทายผู้ชายต่อหน้าสาธารณชนหรือสมาคม และผู้ชายใดๆ ที่ไม่ใช้สามีของเธอโดยปราศจากผู้ที่ไปเป็นเพื่อน ซึ่งเคยมีตัวอย่างมาแล้วในเดือนกุมภาพันธ์ 2008 ผู้หญิงสหรัฐคนหนึ่งที่ติดต่องานโดยสนทนาและจับมือกับผู้ชายในStarbucks และถูกการจับกุมและถึงขั้นขึ้นศาล



อันดับ 5 มารยาทอาหารในไทย/ฟิลิปปินส์/จีน (Finish Your Meal In Thailand / The Philippines / China)
สากล:นี้เป็นอาหารอร่อย แต่ตอนนี้กระเพาะผมจุไม่ได้แล้วครับ ขออภัยด้วยที่กินเหลือ
เอเชีย: มองด้วยสายตาไม่พอใจ......
เจ้าภาพ-เจ้าของบ้าน(ของประเทศทั้งสาม)นั้นให้ความสำคัญกับแขกเวลามาบ้านคุณ พวกเขาจะจัดทำอาหารอย่างดีที่สุด โดยเลือกวัตถุดิบดีๆที่สุด อย่างไรก็ตามราคาวัตถุดิบในการทำอาหารในประเทศนั้นค่อนข้างแพงทำให้เจ้าของบ้านทำอาหารให้พอเหมาะแก่ความต้องการต่อแขกเท่านั้น


อันดับ 6 ห้ามยกนิ้วโป้งที่ประเทศตะวันออกกลาง (Give the Thumbs-Up In The Middle East)
สากล: "กู๊ด มันยอดเยี่ยม"
ตะวันออกกลาง: "เดี๋ยวฉันจะเอานิ้วโป้งนายยัดรูตูดเอ็ง"
มันไม่เหมาะอย่างยิ่งที่ยกหัวนิ้วโป้งในตะวันออกกลางนี้ แม้ว่ายกนิ้วโป้งจะเป็นการแสดงอากิริยาสากลก็เถอะ เราไม่รู้ที่มาการห้ามนี้มาจากที่ใด แต่สัญลักษณ์การยกนิ้วหัวแม่มือนั้นเป็นสัญญาณที่เคยมากว่าพันปีมาแล้วในสมัยโรมัน การต่อสู้ในสังเวียนเลือด(โคโลเซียมหรือเวทีประลอง) พวกนักต่อสู้(ซึ่งเป็นทาส คนผิวดำ ยิว)ที่แพ้ในเวทีจะถูกตัดสินโดยเจ้าภาพว่าจะอยู่หรือตาย โดยถ้าเจ้าภาพจะทำมือเอานิ้วหัวแม่มือขึ้น-ลง ถ้ายกนิ้วโป้งขึ้นจะรอด แต่ถ้ายกหัวนิ้วมือลงนักสู้คนนั้นจะโดนฆ่า และแหล่งกำเนิดนี้ถูกนำไปเผยแพร่รอบๆ อาณานิคมของโรมในที่สุด ซึ่งมันก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น ซึ่งถ้าเป็นจริงความหมายดั้งเดิมของมันคงจะเป็น "อย่าฆ่านักโทษนะเว้ย เพราะตรูเป็นเจ้าชีวิตของพวกมัน"



อันดับ 7 ห้ามแบมือต่อหน้าชาวกรีก (Extend Your Hand, Palm Outward in Greece)
สากล:พอแล้วครับอิ่มแล้วครับ (เป็นภาษากายประมาณว่าผมไม่เอา)
กรีก: "นี่นายว่าหน้าฉันมีอุจจาระเรอะ!!"
ในประเทศกรีกการแสดงอากัปกิริยาโดยทำแผ่ฝ่ามือแบบนี้ต่อหน้าชาวกรีกนั้น ถือว่าเป็นการดูถูกพวกเขาครับ มันที่มาคือ ในสมัยอาณาจักรไบเวนไทน์ Byzantine เมื่อใดที่อาชญากรทำผิดอาญาเขาจะจับคนนั้นขังบนกรงและแห่เป็นขบวนพาเหรดบนหลังม้าตามท้องถนน และผู้คุมจะสีดำลงในหน้าของนักโทษเพื่อประจาน ถือว่าอับอายมากๆ ดังนั้นเวลาชาวกรีกเห็นคุณทำมือแบบนี้ละก็ ชาวกรีกจะนึกว่าคุณกำลังดูถูกพวกเขาอย่างมากๆ เพราะคุณเปรียบพวกเขาเหมือนนักโทษที่น่าอับอายนี้เอง

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

Fighting Mode : รวมโควตา+สอบตรงในช่วงนี้

จุฬาลงกรณ์
แบบปกติ ใช้ gat-pat ครั้งที่1-3มีสอบสัมภาษณ์ 56สาขา
16-30พ.ย.52
รับตรงเพิ่มเติ่ม เพิ่มเติม 14 สาขา
16-30พ.ย.52


มหิดล
วิทยาลัยดุริยางคศิลป์
14-21พ.ย.5213-50ก.พ.52

วิทยาลัยนานาชาติ มหิดล
5-29ม.ค.53


ธรรมศาสตร์
เศรษฐศาสตร์ Inter รับ 150
2-15พ.ย.52

มศว
โควตานักกีฬา รับเยอะมากหลายสาขา
ถึง 30 พย 52


เชียงใหม่
New วิศวกรรมศาสตร์ซอฟแวร์ นานาชาติ
13 พย 52

พระจอมเกล้าธนบุรี
คัดเลือกตรง
ทุนเพชรพระจอม
30 พย 52
โควตา เทคโนโลยีสาระสนเทศ
21ก.ย.-13พย.52

พระนครเหนือ
รับตรงโควตาหลายสาขา
16 ธค - 10 กพ 53

บูรพา
รับตรงทั่วประเทศ และโควตารับตรงในภาคตะวันออก 12 จังหวัด
16พ.ย.-16ธ.ค.52


วันอังคารที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เรื่องน่ารู้ : ภาพมหัศจรรย์ ภายในร่างกายมนุษย์ #1

1. Red Blood Cells เม็ดกลมๆ สีแดงเหมือนลูกกวาดที่พวกเราเห็น ก็คือเม็ดเลือดแดงภายในร่างกายของเรา ซึ่งทำหน้าที่นำพา oxygen ไปเลี้ยงอวัยวะทั่วร่างกาย ปกติแล้วในเพศหญิงจะมี Cell ที่พวกเราเห็นอยู่ 4-5 ล้านเซลล์ภายในเลือดจำนวน 1 มิลลิลิตร และจำนวน 5-6 ล้านเซลล์ในเพศชาย แต่ผู้ที่อาศัยอยู่ในที่ราบสูงมากๆ ที่มีปริมาณ oxygen เบาบางกว่าปกติ จะมี Cell เม็ดเลือดแดงมากกว่าคนปกติ 2. Split End Of Human Hair เป็นภาพเส้นผมของเราที่แตกหักตรงส่วนปลาย วิธีแก้ก็อย่างที่พวกเราทราบกันดี คือหมั่นเล็มปลายผมและใช้ครีมนวดบำรุงเส้นผม3. Purkinje Neurons เป็น neurons ที่มีชื่อว่า Purkinje Neurons ซึ่งเป็นหนึ่งใน neurons ขนาดใหญ่ภาพในสมอง คาดกันว่ามี neurons ภายในสมองของเราอยู่ถึง 100 พันล้าน neurons
4. Hair Cell In The Ear ภาพที่พวกเราเห็นเป็นภาพของ Cell ขนอ่อนภายในหูของเรา

5.Blood vessels emerging from the optic nerve เป็นภาพรูปร่างเส้นเลือด ที่ออกมาจากตาดำ ซึ่งอยู่ในส่วนของเรติน่าของประสาทตา

6.Tongue with Taste Bud เป็นภาพถ่ายลิ้นของเรา บริเวณที่มีปุ่มรับรสอยู่ ปุ่มรับรสนี้จะมีอยู่ประมาณ 10,000 ปุ่ม แยกกันทำหน้าที่ในการรับรส เปรี้ยว หวาน เค็ม ขม

7. Tooth Plaque คือคราบ plaque ที่เกาะอยู่ตามฟันของเรานั่นเอง

8. White Blood Cell เม็ดสีขาวที่อยู่กลางภาพก็คือ Cell เม็ดโลหิตขาว ท่ามกลาง Cell เม็ดโลหิต

วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552

เรื่องน่ารู้ : 4 อย่า!! เมื่อคุณจะนอน


• อย่าที่ 1 คือ อย่านอนหลับไปพร้อมๆ กับนาฬิกาข้อมือ ก็เพราะขณะที่นาฬิกาเจ้ากรรมทำงานไปเรื่อยๆ นั้น เจ้านาฬิกาไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ล้วนปล่อยพลังงานทั้งสิ้น เชื่อมั้ยว่าการใส่นาฬิกาข้อมือนอน จะมีผลต่อสุขภาพระยะยาวเลย


• อย่าที่ 2 นี่ สำหรับพวกชอบคุยโทรศัพท์มือถือจนหลับโดยเฉพาะเลย ไม่ควรนอนหลับไปพร้อมๆ กับโทรศัพท์เท่านั้น แต่หมายรวมไปถึงการวางโทรศัพท์มือถือไว้ใกล้ๆ ตัวด้วย บางคนที่ชอบใช้มือถือเป็นนาฬิกาปลุกยามเช้า กรุณาเก็บมือถือของท่านไว้ให้ใกลตัวที่สุดเมื่อจะนอนซะเถอะ ไปหาซื้อนาฬิกาปลุกถูกๆ ดีๆ เก๋ๆ มาใช้ดีกว่า เพราะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ระบุว่า โทรศัพท์มือถือเครื่องจิ๋วเนี่ย จะปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาขณะเปิดเครื่องไว้ และเจ้าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเหล่านี้ มีผลกับระบบประสาทซะด้วยสิ เพราะฉะนั้น ตอนนอนก็ปิดโทรศัพท์มือถือซะดีกว่า พอปิดโทรศัพท์มือถือเรียบร้อยแล้ว จะวางไว้ใกล้หรือไกลก็หายห่วง


• อย่าที่ 3 ง่ายๆ สั้นๆ คือ อย่าหลับพร้อมๆ กับเครื่องสำอาง ไม่ว่าจะเหนื่อยอ่อนเมื่อยล้าขนาดไหน ต้องล้างเครื่องสำอางออกให้หมด เพราะการหลับทั้งๆ ที่เครื่องสำอางยังคาอยู่ที่ผิวหน้านั้น จะก่อให้เกิดปัญหาด้านผิวพรรณระยะยาว กลางคืนคือช่วงเวลาที่ผิวพรรณจะได้พักผ่อนบ้างนะค่ะ


• อย่าที่ 4 (สำหรับสาวๆ เท่านั้น) คือ อย่านอนหลับทั้งๆ ที่ยังใส่ยกทรง นักวิ! ทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน ค้นพบว่าการใส่ยกทรงนานเกิน 12 ชั่วโมง จะเป็นการเพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งทรวงอกได้ ฉะนั้น ก็อย่าใส่ยกทรงนอนเลย ไม่ต้องกลัวเสียทรง ไม่ต้องกลัวอกแบะ ห่วงชีวิตไว้ก่อนดีกว่า





วิธีการสังเกตถึงสุขภาพภายในร่างกายของเราหรือของคนใกล้ตัวเรานั้นด้วยศาสตร์ใหม่จากการวิเคราะห์สภาพผิวแบบ "Face Mapping" ซึ่งเป็นกระบวนการพิสูจน์และวิเคราะห์สภาพผิวด้วยศาสตร์ตะวันออกโดยกระบวนการดังกล่าวสามารถพิสูจน์ได้ว่าผิวหน้าสามารถบ่งบอกได้ถึงสุขภาพภายในร่างกายที่มีผลกระทบต่อผิวพรรณ และทำให้เข้าใจได้ถึงสาเหตุการเกิดปัญหาสุขภาพได้อย่างที่คาดไม่ถึงเลยทีเดียว

ส่วนสิวบริเวณต่างๆ บนหน้าจะบ่งบอกถึงปัญหาและภัยโรคร้ายได้อย่างนั้น มาดูกันค่ะ

1. ถ้าเป็นสิวที่หน้าผากด้านซ้ายและขวาเกี่ยวข้องกับระบบย่อยอาหาร กระเพาะปัสสาวะ และต่อมหมวกไต
สาเหตุ : เพราะมีความเครียดสูงล้างหน้าไม่สะอาด เพราะทารองพื้น หรือแต่งคิ้วมากไป

2. หว่างคิ้ว อาจมีปัญหาในการย่อยแล็กโทส (ดื่มนมไม่ได้)
สาเหตุ : เพราะกินอาหารรสจัดหรือกินอาหารดึกเกินไป

3. ในหูทั้ง 2 ข้าง เกี่ยวข้องกับการทำงานของไต
สาเหตุ : ล้างแชมพูหรือสบู่ออกไม่หมดใช้โทรศัพท์มือถือมากเกินไป ดื่อกาแฟ แอลกอฮอล์หรือกินเนื้อสัตว์มากเกินไป หรือหากมีปัญหาสิวอุดตันช่วงในหูอาจแสดงว่าฟันกรามมีปัญหา หรือว่าเพิ่งผ่าตัดฟันมาหรืออาจเกิดจากการมีรอบเดือน

4. แก้มทั้ง 2 ด้าน แก้มส่วนบนเกี่ยวข้องกับไซนัสและปอดแก้มส่วนล่างเกี่ยวข้องกับเหงือกและฟัน
สาเหตุ : สูบบุหรี่จัด หรือแพ้ควันบุหรี่ ภูมิแพ้เป็นหวัดเรื้อรัง หรืออาจใช้บรัชออนและรองพื้นไม่เหมาะสมแต่ถ้าเป็นริ้วรอยลึกบริเวณโหนกแก้ม อาจบ่งบอกถึงปัญหาเรื่องปอดหรือการหายใจถ้ามีสิวแบบเป็นๆ หายๆ ที่แก้มด้านล่าง อาจมีปัญหาเรื่องเหงือกและฟันหรือโทรศัพท์มือถือไม่สะอาด

5. รอบดวงตาทั้ง 2 ข้าง เกี่ยวข้องกับการทำงานของไตปัญหาโรคภูมิแพ้
สาเหตุ : เครื่องสำอางที่ใช้อาจไม่เหมาะกับสภาพผิวหรือใส่แว่นตาที่เสียดสีมาก รอยคล้ำอาจเกิดจากการมีสารพิษตกค้างในร่างกายมากหรือพักผ่อนน้อยเปลือกตา หากมีความระคายเคืองอาจมาจากการเป็นภูมิแพ้หรือขาดสารอาหาร

6. จมูกและเหนือริมฝีปากเกี่ยวข้องกับการทำงานของหัวใจและระบบสืบพันธุ๋
หากมีผิวสีแดงเข้มที่จมูก อาจบ่งบอกถึงโรคความดันโลหิตสูงการอุดตัน หรือสีผิวไม่สม่ำเสมอ บอกถึงผลกระทบจากฮอร์โมน เช่น กำลังมีประจำเดือนวัยทอง การใช้ยาคุมกำเนิด

7. ใต้ริมฝีปากด้านซ้ายและขวาเกี่ยวข้องกับการทำงานของรังไข่
สาเหตุ : อาจทำความสะอาดได้ไม่พอหรือมาจาขาดความสมดุลทางฮอร์โมน

8. ปลายคาง เกี่ยวข้องกับกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก
สาเหตุ : อาจกิจอาหารรสจัดเกินไปจนลำไส้เป็นแผลหรือมีปัญหาในการดูดซึม

9. ลำคอและหน้าอก
สาเหตุ : เกิดจากความเครียด

รู้อย่างนี้แล้วก็เริ่มหันมาสำรวจตัวเองได้แล้วนะคะ จะได้รู้ว่าตัวของเรามีความผิดปกติหรือมีโรคภัยไข้เจ็บอะไรแฝงอยู่หรือไม่ ... ใส่ใจกับตัวเองซักนิดเพื่อสุขภาพที่แข็งแรงนะคะ

วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552

Fighting Mode : 5 คณะยอดนิยม







ปีที่แล้วมหาวิทยาลัยมหิดลได้เผยข้อมูลความนิยมในแต่ละคณะ โดยสุ่มตัวอย่างจากทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด พบว่า


5 คณะยอดนิยมของเยาวชนชาย คือ
คณะวิศวกรรมศาสตร์ 16.2%
คณะแพทย์ศาสตร์ 15%
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ 8.4%
คณะนิติศาสตร์ 7.9%
คณะรัฐศาสตร์ 7.4%

ส่วนเยาวชนหญิงนั้น คือ
คณะอักษรศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ และคณะมนุษยศาสตร์ 20.4%
คณะนิเทศศาสตร์ วารสารศาสตร์ และคณะสื่อสารมวลชน 17.3%
คณะบัญชี 7.6%
คณะรัฐศาสตร์ 5.2%
คณะพยาบาลศาสตร์ 4.6%

ขณะที่มหาวิทยาลัยยอดนิยมจัดตามอันดับแล้ว
อันดับ 1 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อันดับ 2 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อันดับ 3 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
อันดับ 4 มหาวิทยาลัยมหิดล
อันดับ 5 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
อันดับ 6 มหาวิทยาลัยศิลปากร
อันดับ 7 มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อันดับ 8 มหาวิทยาลัยขอนแก่น
อันดับ 9 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
อันดับ 10 มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (บางมด)

วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Fighting Mode : มาพูดถึงเรื่อง 06 เทคนิคการอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบให้ได้ผล ใน 1 เดือนมีจริงหรือ


เทคนิค 6 ข้อ ที่ควรทำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบให้ได้ผล ใน 1 เดือน ซึ่งอาจจะมีข้อสำคัญสำหรับน้องๆ คือ การเลิก Chat ไปสักระยะ (แหม ข้อนี้ทำร้ายจิตใจกันจริงๆ นะคะ) แต่ก็นั่นล่ะค่ะ แชทมากไปก็ไม่ดี น้องๆ ก็รู้อยู่ แชทพอให้หายเครียดก็คงเป็นทางสายกลางที่น่าจะทำนะคะ.. เอ๊า มาดูกัน ว่ามีเทคนิคอะไรน่าสนใจบ้าง
1.ต้องเลิกเที่ยว เลิกดื่ม เลิกสร้างบรรยากาศที่ไม่ใช่การเตรียมสอบ เลิก chat ตอนดึกๆ เลิกเม้าท์โทรศัพท์นานๆ ตัดทุกอย่างออกไป ปลีกวิเวกได้เลย ต้องทำให้ได้ ถ้าไม่ได้อย่าคิดเลยว่าจะสอบติด ฝันไปเถอะ
2.ตัดสินใจให้เด็ดขาด ว่าต่อไปนี้จะทำเพื่ออนาคตตัวเอง บอกเพื่อน บอกพ่อแม่ บอกทุกคนว่า อย่ารบกวน ขอเวลาส่วนตัว จะเปลี่ยนชีวิต จะกำหนดชีวิตตัวเอง จะกำหนดอนาคตตัวเอง เพราะเราต้องการมีอนาคตที่กำหนดได้ด้วยตัวเอง ใช่หรือไม่
3.ถ้าทำ 2 ข้อไม่ได้ อย่าทำข้อนี้ เพราะข้อนี้คือ ให้เขียนอนาคตตัวเองไว้เลยว่า จะเรียนต่อคณะอะไร จบแล้วจะเป็นอะไร เช่น จะเรียนพยาบาล ก็เขียนป้ายตัวใหญ่ๆ ติดไว้ข้างห้อง มองเห็นตลอด สร้างเป้าหมายให้ชัดเจน
4.เตรียมตัว สรรหาหนังสือ หาอาจารย์ติว หาเพื่อนคนเก่งๆ บอกกับเค้าว่าช่วยเป็นกำลังใจให้เราหน่อย ช่วยเหลือเราหน่อย หาหนังสือมาให้ครบทุกเนื้อหาที่จะต้องสอบ เตรียมห้องอ่านหนังสือ โต๊ะ เก้าอี้ โคมไฟ ให้พร้อม
5.เริ่มลงมืออ่านหนังสือ เริ่มจากวิชาที่ชอบ เรื่องที่ถนัดก่อน ทำข้อสอบไปด้วย ทำแบบฝึกหัดจากง่ายไปยาก ค่อยๆ ทำ ถ้าท้อก็ให้ลืมตาดูป้าย ดูรูปอนาคตของตัวเอง ต้องลงมืออ่านอย่างจริงจัง อย่างน้อยวันละ 10 ชั่วโมง แล้วจะทำได้ไง วิธีการคือ อ่านทุกเมื่อที่มีโอกาส อ่านทุกครั้งที่มีโอกาส หนังสือต้องติดตัวตลอดเวลา ว่างเมื่อไรหยิบมาอ่านได้ทันที อย่าปล่อยให้ว่างจนไม่รู้จะทำอะไร ที่สำคัญอ่านแล้วต้องมีโน้ตเสมอ ห้ามนอนอ่าน ห้ามกินขนม ห้ามฟังเพลง ห้ามดูทีวี ห้ามดูละคร ดูหนัง อ่านอย่างเดียว ทำอย่างจริงจัง
6.ข้อนี้สำคัญมาก หากท้อให้มองภาพอนาคตของตัวเองไว้เสมอ ย้ำกับตัวเองว่า “เราต้องกำหนดอนาคตของตัวเอง ไม่มีใคร กำหนดให้เรา เราต้องทำได้ เพราะไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้” ให้กำลังใจกับตัวเองอยู่เสมอ บอกกับตัวเองอย่างนี้ทุกวัน หากท้อ ขอให้นึกว่า อย่างน้อยก็มีผู้เขียนบทความนี้เป็นกำลังใจให้น้องๆ เสมอ นึกถึงภาพวันที่เรารับปริญญา วันที่เราและครอบครัวจะมีความสุข วันที่คุณพ่อคุณแม่จะดีใจที่สุดในชีวิต ต่อไปนี้ต้องทำเพื่อท่านบ้าง อย่าเห็นแก่ตัว อย่าขี้เกียจ อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง

Fighting Mode : เคล็ดลับวิธีทำความเข้าใจและจดจำบทเรียนได้อย่างแม่นยำ อยากรู้ต้องมาอ่าน


เคล็ดลับการทำความเข้าใจและจดจำบทเรียนนี้ เป็นเทคนิคง่าย ๆ นักเรียนนักศึกษาสามารถนำไปปฏิบัติได้ทุกคน ขอแต่เพียงเข้าใจเคล็ดลับวิธีการเท่านั้นเอง หัวใจสำคัญของการทำความเข้าใจและจดจำบทเรียน คือ การหมั่นฝึกฝนตามขั้นตอนให้เกิดความเคยชินจนติดกลายเป็นนิสัยการอ่านเพื่อทำความเข้าใจนี้จะแตกต่างจากการอ่านเพียงเพื่อท่องจำ

1. เวลาอ่านบทเรียนหรือตำรา ให้อ่านอย่างตั้งใจ แต่ทว่าเราจะไม่อ่านไปเรื่อย ๆ คือเราจะ หยุดอ่านเมื่อจบย่อหน้าหรือหยุดเมื่ออ่านไปได้พอสมควรแล้ว

2. จากนั้นให้ปิดหนังสือ ! แล้วลองอธิบายสิ่งที่ตนเองได้อ่านมาให้ตัวเองฟัง คือ เราสามารถอธิบายให้ตัวเองฟังด้วยภาษาสำนวนของเราเอง ฟังแล้วเข้าใจหรือเปล่า หากเราสามารถอธิบายให้ตัวเองฟังรู้เรื่อง แสดงว่าเราเข้าใจแล้ว ให้อ่านต่อไปได้

3. หากตอนใดเราอ่านแล้วแต่ไม่สามารถอธิบายให้ตัวเองรู้เรื่อง แสดงว่ายังไม่เข้าใจ ให้กลับไปอ่านทบทวนใหม่อีกครั้ง

4. หากเราพยายามอ่านหลายรอบแล้วยังไม่เข้าใจจริงๆให้จดโน้ตไว้เพื่อนำไปถามอาจารย์ จากนั้นให้อ่านต่อไป

5. ข้อมูลบางอย่างในตำราจำเป็นที่จะต้องท่องจำ เช่น ตัวเลข สถิติ ชื่อสถานที่ บุคคล หรือ สูตร ต่าง ๆ ฯลฯ ก็ควรท่องจำไว้ด้วย เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจ ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

6. การเรียนด้วยวิธีท่องจำโดยปราศจากความเข้าใจ เรียนไปก็ลืมไป สูญเสียเวลา เปล่าประโยชน์ เสียเงินทอง

7. การเรียนที่เน้นแต่ความเข้าใจ โดยไม่ยอมท่องจำ ก็จะทำให้เราเข้าใจเรื่องต่าง ๆ ไม่ชัดเจน คลุมเครือ

8. ดังนั้นจึงขอสรุปเทคนิคง่าย ๆ สั้น ๆ ดังต่อไปนี้ :-

หมายเหตุ * เทคนิคการทำความเข้าใจและจดจำบทเรียนได้อย่างแม่นยำนี้ เป็นเพียงข้อเดียว (อรรถปฏิสัมภิทา) ในธรรมะชุดปฏิสัมภิทา 4 หรือ ธรรมะเพื่อความเลิศทางวิชาการ จาก พระไตรปิฎกมรดกทางปัญญาที่สำคัญที่สุดของคนไทย )


ก.ให้อ่านหนังสือ สลับกับ การอธิบายให้ตัวเองฟัง
ข.ให้ท่องจำเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นต้องจำจริง ๆ เช่น ตัวเลข ชื่อเฉพาะต่างๆ

วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เรื่องน่ารัก-น่ารู้ : 10 วิธีบอกรักแม่



1.ส่งการ์ด

การ์ดอวยพรที่ต้องเข้ากับเทศกาล จะเป็นภาพดอกมะลิ หรือรูปที่สื่อถึงความรักของแม่กับลูก อย่าหยิบผิดเป็นภาพต้นคริสมาสต์มาล่ะหรือใครมีทักษะด้านศิลปะ ก็โชว์ได้เต็มที่เลยนะ อ๊ะๆ แต่บอกไว้ก่อนไม่ใช่ทำแล้วฝีมือออกมาเหมือนน้องที่เรียนอยู่ป.2 นะ โตแล้วการ์ดอวยพรวันแม่ที่ทำเองก็ต้องโต่ตามด้วย จะได้สื่อถึงความพยายามของเราอย่างไรล่ะ ภายในการ์ดก็บรรเลงความในใจ ความรัก สิ่งที่อยากจะพูดกับคุณแม่ได้เลย ลูกๆ ขี้อายเลือกไปใช้ได้เลยนะ

ความซึ้งน้ำตาไหล 2 หยด


2.กอด
วิธีธรรมดาที่สามารถส่งต่อความอบอุ่นได้ดี ไม่ต้องใช้อะไร นอกจากอ้อมกอดจริงใจ เปี่ยมไปด้วยความรักที่มีต่อแม่ วิธีการ ก็ง่าย รอจังหวะที่แม่อารมณ์ดี และกำลังว่างอยู่ แล้วเราเดินไปหาแม่ บอกกับแม่ว่า "ขอกอดแม่หน่อยนะ" พร้อมกับสวมกอด แล้วพูดว่า "ผมรักแม่ครับ/หนูรักแม่ค่ะ"
ความซึ้งน้ำตาไหล 3 หยด

3.อาสางานบ้าน
น้องๆ คุณลูกชาวเด็กดีทั้งหลาย ใครเห็นด้วยว่า 'รักแม่ รักได้ทุกวัน' ยกมือขึ้น เอาล่ะงั้นพี่มิ้ง ขอแนะนำวิธีที่ตรงกับความคิด วิธีนี้เลย หลังจากบอกรักไปแล้ว เราก็บอกต่อด้วยสนธิสัญญาใจ ว่าอยากจะช่วยเหลืองานบ้าน จะเป็น 1 อย่าง 2 อย่าง หรือทั้งหมดยิ่งดีใหญ่ แต่พี่มิ้งแนะนำว่าเอาน้อยๆ แต่ทำได้ตามที่สัญญาดีกว่า ป้องกันความขี้เกียจ พาเราฉีกสนธิสัญญาทั้งที่ผ่านไปได้แค่ 7 วัน

ความซึ้งน้ำตาไหล 2-3 หยด

4.กราบเท้า พวงมาลัย

เพิ่มความมุ่งมั่นตั้งใจ ด้วยวิธีการที่ทุ่มเทมากขึ้น ขั้นแรกต้องไปหาเข็มกลัดดอกมะลิที่มีขายทั่วไป หรือพวงมาลัยดอกมะลิก็ได้ ค่ำวันที่ 12 สิงหา เป็นเวลาที่เหมาะสุด อาจเป็นตอนที่แม่กำลังดูละครหลังข่าวนั่นล่ะ คลานเข่าเข้าไปเลยวัยรุ่น กราบที่เท้าของท่าน พร้อมยื่นดอกมะลิที่เตรียมมา อย่าลืมประโยคเด็ด

"ผมรักแม่ครับ/หนูรักแม่ค่ะ"

ความซึ้งน้ำตาไหล 3 หยด

5.ผลการเรียน การสอบหรูๆ

วิธีนี้ไม่ต้องเป็นลูกๆ ที่เรียนเก่งก็ได้ ความจริงเหมาะสำหรับเด็กดื้อที่ตั้งใจเรียนน้อยๆ เสียด้วยซ้ำ เพราะ จะได้ชี้ชัดไปเลยว่า เราตั้งใจทำเพื่อแม่จริงๆ โดยไปบอกกับแม่ ในวันแม่ว่า "ผม/หนู จะตั้งใจเรียน แล้วเอาเกรดดีๆ มาให้แม่ ครับ/ค่ะ" เป็นวิธียิงปืนนัดเดียวได้นก 2 ตัว ทั้งแม่ดีใจ การผลการเรียนดีขึ้นไปพร้อมกันเลย

ความซึ้งน้ำตาไหล 2 หยด

6.ข้อความประทับใจ

สำหรับลูกๆ ขี้อายอีกแล้ว และก็สำหรับลูกๆ ที่อยู่ไกลจากคุณแม่ด้วย ลูกๆ หลายคนทำมึน 'เอ๊ะ ข้อความควรเป็นอย่างไรนะ' แหม ไม่ต้องเลย ทีส่งข้อความสื่อรักให้กับ เพื่อนหนุ่ม เพื่อนสาวเนี่ย ถนัดคิดกันมาได้มากมาย ไม่ยากหรอก แค่ใช้หลักการเดียวกัน คือ สื่อความรักของเราออกไป

ความซึ้งน้ำตาไหล 2.1 หยด

7.บอกรักผ่านจอ ถ่ายวีดีโอ/วีดีโอคลิป

ถึงเวลาใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายวีดีโอคลิป ในทางสร้างสรรค์กันเสียทีเด็กดีรักแม่ ใครจะถ่ายเป็นวีดีโอก็ได้ จะเป็น จะแนวยิ้มๆ เขินๆ บอกความในใจก็ได้ แต่จะมาทำเป็นเล่น ตลกไร้สาระไม่ได้นะ เดี๋ยวความซึ้งจะกลายเป็นความเสื่อมไป ทางที่ดีพี่มิ้งแนะนำว่าแนวซึ้งดีที่สุด ดังนั้นให้ไปบิ้วอารมณ์กันมาก่อน ลองนึกถึง ตอนที่เราทำให้แม่เสียใจ,ตอนที่แม่เสียสละให้เรา,นึกถึงเวลาแม่กอดเรา อาจต้อง เขียนสคริปเล็กน้อย แต่ไม่ต้องถึงกับอ่านกระดาษหรอกนะ แล้วก็พูดไปเลย พูดไปให้หมด อยากจะขอโทษเรื่องไหน อยากจะบอกความรักที่มีให้แม่อย่างไร ตามความรู้สึกเลยครับ ส่วนการเปิดให้ดูก็เปิดผ่าคอมพิวเตอร์ให้แม่ดูก็ได้

ความซึ้งน้ำตาไหล 4.5 หยด

8.มื้ออิ่มใจ

ต้องอาศัยการเตรียมตัวสักหน่อย เพราะเป็นวิธีบอกรักที่อาศัยทุนทรัพย์และความมุ่งมั่น เรามาทำมื้อความสุขให้คุณแม่กัน โดยอาจจะบอกแม่เอาไวก่อนว่า วันนี้มีอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว แต่อย่าบอกความจริงเรื่องที่เราจะทำให้ล่ะ เดี๋ยวไม่ประหลาดใจ ถ้าใครกระเป๋าหนัก หรือ ไม่มีเวลามากนัก ก็พาแม่ไปรับประทานอาหาร ที่ร้านอาหารเลย โดยมื้อนี้ลูกรักต้องขอเป็นคนเลี้ยงแม่บ้างด้วยนะ ส่วนใครอยากทำซึ้งได้อีก ก็วิธีนี้เลย ฝึกทำอาหารสัก 2 อย่าง แนะนำว่าอาหารหลักเป็นอาหารจานเร็ว ที่ทำไม่ยากสักหน่อย อย่างเช่น สปาร์เก็ตตี้ซอสเห็ด,ซุปไก่,ข้าวผัดกุนเชียง ตามด้วยเครื่องดื่มอย่างเช่น น้ำผลไม้ แล้วใครจะซึ้งได้อีก ก็ตบท้ายด้วยขนมก็ได้ อย่างหลังซื้อแบบสำเร็จรุปได้ เพราะท่าทางจะยุ่งยากเสียหน่อย รับรองแม่อิ่มท้อง อิ่มใจไปหลายวัน (ทุกเมนูควรผ่านการชิม และจดสูตรอร่อยไว้แล้วนะ ตั้งใจทำทั้งทีนี่นา)

ความซึ้งน้ำตาไหล 4.5 หยด


9.ทำcd พรีเซ้นต์
จะทำเป็นไฟล์ หรือเป็นแผ่น cd หรูหรา (เพื่อความสะดวก ถ้าแม่อยากเอาไปอวดเพื่อนถึงความประทับใจ)ไม่ยากๆ เหมือนที่เราทำสไลด์ใน สวัสดีห้า(hi5) นั่นล่ะ ถ้าใครทำไม่เป็น ลองถามเพื่อนๆ ดู ต้องมีสักคนล่ะน่า ที่ยอมมาเป็น อาจารย์สอนวิทยายุทธ์นี้ให้กับเรา โดยเลือกรูปเรากับแม่เอามาไว้เยอะ ยิ่งตอนเด็กๆ ยิ่งดี ให้แม่ย้อนถึงอดีตยิ่งซึ้งใหญ่ ประกอบด้วยเพลงแนะนำอย่าง 'ค่าน้ำนม','อิ่มอุ่น' ศุ บุญเลี้ยง, 'แม่' เสก โลโซ,เบิร์ด ธงชัย ฯลฯ ใครอยากซึ้งได้อีก แนะนำว่า ร้องคาราโอเกะใส่ดนตรีมาเลย โห แค่คิดก็น้ำตาจะไหลแล้ว

ความซึ้งน้ำตาไหล 5 หยด เต็มๆ

10.ปิดท้ายด้วยวิธีที่ง่ายที่สุด จริงใจที่สุด ทำได้บ่อยๆ การแสดงความรัก

รักแม่ เสียสละเพื่อแม่บ้าง กอดแม่บ้าง รับใช้คุณแม่ ตั้งใจเรียนเพื่อแม่ พูดไพเราะกับแม่ ไม่เถียงแม่ เชื่อฟังแม่ ฯลฯ ถ้าเราทำด้วยความรักจริงๆ รับรองเราทำได้ไม่มีเบื่อ ไม่มีบ่นเลย

ความซึ้งน้ำตาไหล ประมาณค่าไม่ได้

เรื่องน่ารู้ : สัญญาณเตือนจาก"เล็บ"


อย่าคิดว่าเล็บไม่มีความสำคัญ เห็นเป็นแค่ส่วนเกินของนิ้วมือเท่านั้นเล็บมีส่วนประกอบหลักของสารโปรตีนประเภท "เคราติน" (Keratin) ในคนที่มีสุขภาพปกติ เล็บจะมีสีชมพูอ่อนๆ เสมอกัน เนื้อเล็บแข็ง เรียบ ลื่น แต่ถ้าเล็บเริ่มมีรูปร่างหรือสีแปลกไป อาจเป็นสัญญาณเตือนว่า อาจเกิดความผิดปกติหรือโรคภัยบางอย่าง
1.เล็บมีลักษณะสีขาวเป็นแผ่นตรงกลาง อาจมีความผิดปกติกับตับ หรือมีโรคที่เกี่ยวกับการทำงานของตับผิดปกติ
2.เล็บมีลักษณะหนากว้าง โค้งมนตามลักษณะของปลายนิ้วที่โตขึ้นและมีสีม่วงคล้ำลักษณะแบบนี้พบมากในผู้ป่วยโรคหัวใจ โรคตับ และโรคท้องเสียเรื้อรัง
3.เล็บมีลักษณะเป็นหลุม ขรุขระ ไม่เรียบเกลี้ยงเกลา อาจเป็นโรคผิวหนังที่เรียกว่า สะเก็ดเงิน หรือเรื้อนกวาง เพราะลักษณะแบบนี้จะพบในผู้ป่วยโรคผิวหนังถึง 70%
4.เล็บมีลักษณะขาวซีด อ่อน แบนและบุ๋ม ลักษณะแบบนี้พบมากในคนที่ขาดธาตุเหล็ก ซึ่งมักจะเป็นโรคโลหิตจาง
5.เล็บมีลักษณะเป็นสีเหลือง ถ้าพบลักษณะแบบนี้ในเล็บบนนิ้วมือที่ถนัด อาจเป็นเพราะสารนิโคตินที่มาจากบุหรี่เกาะบนเล็บที่ใช้คีบบุหรี่ ลักษณะนี้จะพบมากในผู้ป่วยโรคปอด
6.เล็บมีลักษณะเป็นจุดหรือเส้นสีม่วงที่เกิดจากเส้นเลือดฝอยแตกจะพบมากในผู้ป่วยโรคลิ้นหัวใจอักเสบ โรคลิ้นหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดอักเสบ และโรคขาดวิตามินซี
7.เล็บมีลักษณะเป็นดอกหรือจุดขาวๆ หรือเป็นเสี้ยวพระจันทร์ อาจขาดสารอาหารบางอย่างที่ทำให้เซลล์สร้างเล็บได้ไม่สมบูรณ์ หรือกำลังมีปัญหาสุขภาพ อาจจะมีโรคภายในที่ทำให้เจ็บป่วยหนักขึ้น
8.เล็บมีลักษณะสีดำ ส่วนมากพบในคนที่ขาดวิตามินบี 12 และในผู้ป่วยโรคลำไส้ผิดปกติ อาจมีจุดดำๆ เกิดขึ้นตามเนื้อเยื่อของลำไส้เยื่อบุปากและริมฝีปาก
ต่อไปเวลาตัดเล็บ อย่าลืมสังเกตความผิดปกติของสีเล็บด้วยทุกครั้ง ถ้าพบความผิดปกติดังที่กล่าว ปรึกษาแพทย์เป็นดีที่สุด
ป้องกันไว้ก่อนดีกว่า เป็นแล้วแก้จะแย่ทีหลัง

วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เรื่องน่ารู้ : สัญลักษณ์ "@"

ขณะนี้ ในฝรั่งเศส กำลังถกเถียงกันอย่างหนักว่า จะเรียกเจ้าสัญลักษณ์ "@" ที่ใส่นำหน้าอีเมลว่า อะไรดี โดยในปัจจุบันชาวเมืองน้ำหอมเรียกกันอยู่สองแบบคือ "อาโรบาเซ" (arobase) ตามรากศัพท์ภาษาสเปน และ "แอท" (at) ตามรากศัพท์ภาษาอังกฤษ แต่จู่ๆ คณะกรรมาธิการทั่วไปของฝ่ายประดิษฐ์ถ้อยคำ และการใช้คำของฝรั่งเศสก็เกิดอยากให้เปลี่ยนมาเรียกว่า "อาร์รอบ" (arrobe) ตามการประดิษฐ์คำในภาษาฝรั่งเศสสมัยใหม่ แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่มีการยืนยันว่าฝรั่งเศสจะเปลี่ยนมาเรียกเจ้า "@" ว่า"อาร์รอบ" จริงๆ หรือไม่

ด้านคริสตีน อูฟราร์ด ผู้จัดทำพจนานุกรมให้กับสำนักพิมพ์ลารูสส์ กล่าวว่า คำว่า "อาร์รอบ" มาจาก "อาร์โรบา" (arroba) ซึ่งเป็นรากศัพท์ภาษาสเปน และทางสำนักพิมพ์ได้บรรจุศัพท์คำนี้ไว้ในพจนานุกรมตั้งแต่ปี1998 เนื่องจากมีผู้นิยมใช้มากขึ้น แต่ก็ไม่มีใครเรียกเจ้า "@" ว่า "อาร์รอบ" เวลาใส่นำหน้าอีเมลของตนเลย

สัญลักษณ์ "@" นี้มีการเรียกแตกต่างกันไป เช่น

ภาษาสเปนเรียกว่า อาร์โรบา (arroba)

ภาษาเยอรมันเรียกแอท (at) แต่ที่ดูจะมีสีสันก็น่าจะเป็น

ภาษาเชก ซึ่งเรียกสัญลักษณ์นี้ว่า ซาวีนัค (zavinac) หมายถึงปลาเค็ม

ภาษารัสเซียเรียกว่าโซบัชกา (sobachka) หมายถึงเจ้าหมาน้อย

ภาษาอิตาลีเรียกว่า ชิออคซีโอลา (Chiocciola)หมายถึงเจ้าทากน้อย และ

ภาษาฮิบรูว์ เรียกว่า สตรูเดล (strudel) หมายถึง เค้กแบบออสเตรีย เป็นต้น

วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ธรรมะน่าคิด ; "น่าเสียดาย" ข้อคิดดีๆ จากท่าน ว.วชิรเมธี


น่าเสียดาย ที่เรามีพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ

แต่เรากลับศรัทธาไสยศาสตร์หัวปักหัวปำ

น่าเสียดายที่เรามีพระมหากษัตริย์ที่แสนดี

แต่เรากลับมีคนโกงกินเต็มบ้านเต็มเมือง

น่าเสียดายที่เรามีวัดอยู่เกือบทุกหมู่บ้าน/ตำบล

แต่เรากลับมากด้วยคนขาดจริยธรรมอยู่ทั่วไป

น่าเสียดาย ที่เราสถาปนาประชาธิปไตยตั้งแต่ พ.ศ. 2475

แต่เรากลับมีปฏิวัติ/รัฐประหารมาแล้ว14 ครั้ง

น่าเสียดายที่เรามีมหาวิทยาลัยมากมายติดอันดับโลก

แต่เรากลับโชคร้ายที่คนไทยชอบดูดวงบวงสรวงเทพยดา

น่าเสียดายที่เรามีป่าไม้-แม่น้ำ-ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์

แต่เรากลับเทิดทูนการทำลายแทนการรักษา

น่าเสียดาย ที่เรามีศิลปวัฒนธรรมเป็นของตนเอง

แต่เรากลับเก่ง "การลอกเลียนแบบ" เป็นที่สุด

น่าเสียดายที่เรามีสื่อมวลชนมากมายไร้พรมแดน

แต่เจ็บปวดเหลือแสนเมื่อสื่อมวลชนมุ่งแต่การขายสินค้า

น่าเสียดาย ที่เรามีกฎหมาย

แต่เรากลับปล่อยให้มีการใช้กฎหมู่จนเป็นเรื่องธรรมดา

น่าเสียดาย ที่เรามีหนังสือมากมายหลายพันเล่มในห้องสมุด

แต่สถิติสูงสุดคือเราอ่านหนังสือกันปีละ8 บรรทัด

น่าเสียดายที่เรามีอินเทอร์เน็ตใช้ก่อนเป็นอันดับ 3 ของโลก

แต่เรากลับเสื่อมทรามเพราะใช้ส่งภาพถ่ายคลิปโป๊

เสียดายที่เรามีโทรทัศน์หลายสิบช่อง

แต่เรากลับจ้องจะดูแต่ละครน้ำเน่า

น่าเสียดาย ที่เรามีพ่อแม่อยู่ในบ้าน

แต่เรากลับปล่อยให้ท่านอยู่อย่างเปลี่ยวเหงา

น่าเสียดายที่เราสามารถกลับตัวเป็นคนดีได้

แต่เรากลับชอบใจที่จะเป็นคนเลวตลอดกาล

น่าเสียดายที่เราเป็นอิสระจากความอยากได้

แต่เรากลับพึงใจอยู่กับการสนองความอยาก

น่าเสียดาย ที่เราบรรลุนิพพานได้ในชาตินี้

แต่เรากลับยินดีอยู่แค่การทำบุญให้ทาน

วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เรื่องน่ารู้ : ไม่อยากความจำสั้น...ควรเรียนรู้ด้านภาษา!!!


เมื่อมีนักวิจัยออกมาระบุอย่างชัดเจนแล้วว่า การเรียนรู้ภาษา มีผลต่อความจำของคนเรา ซึ่งกลุ่มนักวิจัยดังกล่าว ระบุว่า ผู้ที่เคยเก่งภาษา เมื่อตอนต้นของชีวิตช่วงอายุ 20 ปีต้นๆ จะไม่ค่อยมีปัญหาความจำ แม้ว่าสมองจะมีร่องรอยความเสื่อมของสมองตามอายุขัย…

โดย นักวิจัยมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกิ้นส์พบวี่แววว่า ผู้ที่เก่งในการใช้ภาษาเมื่อตอนหนุ่มสาว จะไม่ค่อยเป็นโรคสมองเสื่อม ตอนแก่เฒ่าเหมือนคนอื่น ซึ่งพวกเขาได้เบาะแสจากการศึกษาสมองของนางชี ในนิกายคาทอลิก เมื่อเสียชีวิตลงแล้ว จำนวน 38 ราย พร้อมกับตรวจเรียงความซึ่งพวกนางชีเคยแต่งเอาไว้ เมื่อสมัยที่อยู่ในวัย 20 ปีต้นๆ ได้พบว่า ผู้ที่เคยเก่งภาษาเมื่อตอนต้นของชีวิต จะไม่ค่อยมีปัญหาความจำ แม้ว่าสมองจะมีร่องรอยความเสื่อมของสมอง ทุกวันนี้นักวิทยาศาสตร์ก็ยังมีความสงสัยในโรคสมองเสื่อมอยู่ เพราะเจอว่าแม้สมองของบางคน จะมีร่องรอยความเสื่อมของสมองตามอายุขัย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นโรคสมองเสื่อมกันหมดทุกคน ดร.ฮวน ทอรโคซัว หัวหน้านักวิจัย ได้กล่าวโดยสรุปว่า "ผลการศึกษาแสดงว่า การทดสอบความเก่งในการใช้ภาษา เมื่อสมัยตอนต้นๆ ของชีวิต อาจจะใช้ทำนายให้รู้ว่า โอกาสที่จะเป็นโรคสมองเสื่อมของผู้นั้น เมื่อตอนอีก 50-60 ปีภายหลังได้”

วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เรื่องน่ารู้ : 10 เครื่องดื่มที่มีประโยชน์ที่สุดในโลก


นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจลิส จัดอันดับ 10 เครื่องดื่มที่มีประโยชน์ที่สุดในโลก โดยดูที่ระดับสารแอนติออกซิแดนต์ หรือสารต้านอนุมูลอิสระ ปัจจุบันมีเครื่องดื่มหลายชนิดอ้างว่า ใส่สารอนุมูลอิสระไว้ แต่หลายคนไม่ทราบว่าสารนี้คืออะไรกันแน่ สำหรับสารต้านอนุมูลอิสระ มีประ โยชน์เนื่องมาจากในขบวนการปฏิกิริยาชีวเคมี ที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย จะมีการขับของเสียที่ร่างกายได้รับ ได้แก่ ควันบุหรี่ แอลกอฮอล์ รังสียูวี เอกซเรย์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นอนุมูลอิสระ ที่มีอันตรายต่อเซลล์ในร่างกาย ที่อาจส่งผลให้เกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ ภาวะข้อต่ออักเสบ ต้อกระจก และการเสื่อมของอวัยวะต่างๆ อนุมูลอิสระจะทำลายเนื้อเยื่อเซลล์ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของดีเอ็นเอ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการเพิ่มความเสี่ยงของการมีเซลล์มะเร็ง และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีที่นำไปสู่ขบวนการเกิดโรคมะเร็ง
สำหรับ 10 อันดับเครื่องดื่มที่มีประโยชน์มากที่สุด คือ
1. น้ำทับทิม
2. ไวน์แดง
3. น้ำองุ่นคอนคอร์ด
4. น้ำบลูเบอร์รี่
5. น้ำแบล็กเชอร์รี่
6. น้ำอะซาอี
7. น้ำแครนเบอร์รี่
8. น้ำส้ม
9. น้ำชา
10. น้ำแอปเปิ้ล - ปราฟดา

วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2552

Fighting Mode!! :รวมเทคนิคการอ่านหนังสือเตรียมสอบ (สายศิลป์)

หลักการอ่านหนังสือเตรียมสอบ (ของสายศิลป์)
** หลายคนสงสัยทำไมต้องเฉพาะสายศิลป์ ก็เพราะสายศิลป์ท่องจำไวยกรณ์ ไม่ได้ท่องจำสูตร การอ่านของสายศิลป์คือการอ่านบ่อยๆให้ค่อยๆซึมเข้าไปในหัว ไม่ใช่ท่องจำถึงที่มาที่ไปของสูตร และอีกอย่างวิธีเหล่านี้ใช้ไม่ได้ในเด็กสายวิทย์**อย่างแรกที่ต้องแนะนำ1.กิน...ถ้า ในระหว่างนี้คุณยังกลัวความอ้วนอยู่ ขอแนะนำให้ปิดหน้าต่างนี้ไปเลย ไม่ใช่ขยับปากเคี้ยวแล้วจะคิดออกนะ -*- แต่สมอง(ซึ่งถูกคุณใช้งานอย่างหนัก)ก็ต้องการสารอาหาร ควรจะเป็นของหวาน (แนะนำชอคโกแลต) คุณลองกินสิ จะรู้สึกมีพลังขึ้นมาอีก 25% และก็กินเข้าไปเลย กินๆๆ ไม่เปนไร เอนท์ติดแล้วเราลดได้ นอกจากนี้ สมองยังต้องการการผ่อนคลาย ซึ่งจะกลายเป็นหัวข้อที่ 2

2.สุขภาพจิตดี... ถ้าคุณเครียดทั้งวันทั้งคืน หนำซ้ำพ่อแม่ยังนั่งเฝ้า ...ตี 2 คุณเริ่มฟุบ พ่อคุณถามว่า "จะนอนแล้วหรอ?" ...หัว คุณก็จะหมกมุ่นอยู่กับความอึดอัด ในขณะที่สายตาของคุณกวาดไปมา และสมองคุณเกร็งอย่างแรง กลับจำอะไรไม่ได้เลย คุณคิดว่าคุณเครียดแล้วจะอ่านหนังสือได้เยอะงั้นหรือ...เปล่าเลย คุณโกหกตัวเอง เหมือนเอาเชือกมารัดหัวแล้วบอกตัวเองว่า ฉันอ่านหนังสือหนักจนปวดหัวเลยนะเนี่ย...ข้อนี้แนะนำให้กินน้ำ ล้างหน้าบ่อยๆ ออกไปเดินเล่นซัก 10 นาทีคงไม่ทำให้คุณสอบตก แลกกับการชาร์จพลังสมอง...คุ้มนะ
3.สมาธิ..อย่า ดูถูกวิธีโบราณ มันช่วยได้จริง...ก้อการนั่งสมาธิไงล่ะ ลองเปิดเพลงไปด้วย ถ้าคุณมีสมาธิจริงคุณจะไม่ได้ยินเสียงเพลงเลย (ไม่ใช่นั่งไปคิดไป เมื่อไหร่เพลงจะหาย..ยังงี้ไม่ได้นะคะ เพราะเท่ากับคุณนั่งฟังเพลง) คิดว่าเรามีลูกแล้วอยู่ในร่างกาย แล้วมันวิ่งขึ้นวิ่งลงช้าๆ ไปเรื่อยๆค่ะ เคย อ่านข้อสอบรอบนึงแล้วไม่รู้ว่าข้อสอบถามอะไรมั้ยคะ นั้นล่ะค่ะ คุณกำลังขาดสมาธิ หายใจเข้า-ออกยาวๆ และพยายามทบทวนอยู่เสมอว่าเมื่อกี้เราคิดอะไรอยู่ ให้จดจ่อกับเรื่องที่อ่านไปเรื่อยๆ อย่าให้เส้นสมองขาดตอนนะคะ
4.กำลังใจ...ถ้าใน 3 ข้อแรก คุณทำอะไรไม่สำเร็จเลย แปลว่าคุณขาดกำลังใจ ขาดแรงฮึดสู้ หรือง่ายๆว่า คุณไม่อยากเอนท์ มีหลายสาเหตุ- เข้า ที่ไหนก็ได้...อย่าโกหกตัวเอง เพียงเพราะว่าคุณเป็นคนขี้เกียจ ใครๆก็อยากเอนติดกันทั้งนั้น คุณบอกว่าคุณไม่หวัง คุณบอกว่าคุณขี้เกียจอ่านและไม่เอาอะไรแล้วในชีวิตดีกว่า จริงอยู่ เอน..ไม่ใช่ทุกสิ่ง แต่เมื่อคุณีโอกาส ทำไมไม่ตั้งใจทำให้มันดี- ประชด คนบางคน... โถๆๆ อย่าเอาคนอื่นมาตัดสินชะตาชีวิตตัวเองแบบนี้เป็นอันขาด ไม่ว่าแม่คุณจะประกาศแก่แม่ค้าทั้งตลาดว่าคุณไม่มีทางเอนติด หรือ พร่ำหวังให้คุณติดจุฬา ทั้งสองอย่างทำให้คุณหดหู่จนไม่อยากทำให้เขาสมน้ำหน้าคุณอย่าไปสนใจดีกว่า...บอกแล้วไง คุณทำเพื่ออนาคตคุณเอง เปลี่ยนแรงกดดันนั้นให้เป็นแรงฮึดสู้...
ยัง ไงก็แล้วแต่ คุณต้องอ่านเยอะๆ อ่านหลายๆรอบ อ่านจนสามารถพูดสรุปออกได้เป็นฉากๆ ไม่ใช่ท่องจำ แต่มันคือการฝังลงไปในหัวที่พร้อมจะเรียกใช้เมื่อไหร่ก็ได้ อย่าไปมัวท่อง(ขอเน้น..อย่า!!!) อ่านบ่อยๆเท่านั้นที่ช่วยได้ อ่านครั้งแรกคุณจะรู้สึกสมองโล่งและคิดในใจว่า คุณจะจำได้ซักกี่คำกัน แต่ครั้งที่ 2 เฮ้ย!! คำนี้มันคุ้นๆ (หลังจากนั้นไปตามหาว่ามันแปลว่าไร ขอย้ำ!! ไม่ต้องท่อง) ครั้งที่ 3 คุณจะจำได้เองอย่างไม่น่าเชื่อ...สาธุสำหรับคนที่เรียนพิเศษแล้วไม่เข้าใจ...ฉันเองก็เคยสอนพิเศษ สามารถบอกได้เลยคน ที่ไม่ฟัง เอาแต่จด เอาแต่อ่านในหนังสือน่ะ พลาดโอกาสอันดีไปนะ เพราะเนื้อหาส่วนใหญ่อยู่ที่ปากคนสอน คุณจะเข้าใจมั้ยก้ออยู่ที่คนสอน เช่นเวลาไปเรียนแบรนด์ บาง คนนั่งอ่านในหนังสือแล้วคิดว่า เค้าพูดถึงไหนแล้ว...กว่าจะคิดได้ว่าที่เขาพูดไม่มีในหนังสือ คุณก็จดไม่ทันแล้วล่ะค่ะ หนังสือนั่นน่ะมันไม่ไปไนหรอก คุณจะอ่านเมื่อไหร่ก็ได้ คุณจะเอาเวลาว่างมาท่องทั้งเล่มก็ไม่มีใครว่า** ถ้าเป็นไปได้เวลาเรียนพิเศษ ฟังที่อาจารย์พูด ฟังทุกคำ ไม่ใช่เหม่อลอยคำที่ 2 กลับมาฟังอีกทีคำที่ 8 ...ชาติ หน้าตอนบ่ายๆคงเข้าใจ แต่ก็ไม่ใช่ฟังแล้วเขี้ยนตามคำบอก...จงฟังแล้วคิด แล้วเขียนอย่างที่ตัวเองเข้าใจ เมื่อจบคอร์สเอามาเรียบเรียงให้เป้นภาษาคน แล้วอ่านซ้ำ(หลายๆรอบ เอาให้จำได้) เราจะรู้ได้เลยว่า อ๋อ บรรทัดนี้ อาจารย์เค้าสอนไว้ว่าไงบ้าง **...ขอแนะนำขั้นสุดท้ายว่า ม.5 เทอม 2 ควรจะเรียนพิเศษให้เสร็จ (ในกรณีที่เอนครั้งเดียวเดือนกุมภา) พอขึ้นม.6ก็ ควรจะเริ่มจำที่เรียนๆมาได้แล้ว อย่าหวังว่าจะไปอ่านที่โรงเรียน มันไม่สามารถอ่านจนจับประเด็นได้เลย เว้นแต่จะเอาเลขไปทำเล่นๆ แต่ถ้าอีก 3 เดือนแล้วไม่มีไรในหัวเลย ขอแนะนำให้ทำข้อสอบย้อนหลักซัก 15 ปี ส่วนคนที่อ่านพร้อมแล้วทำ 7 ปีก้อพอค่ะ...

เคล็ดลับสรุปๆการอ่านหนังสือสอบ
10 เคล็ดลับง่ายๆ รวบรัด
1.ปิดทีวี คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต mp3 มีสติอยู่กับหนังสือ

2.นั่งสมาธิสัก 5 นาที
3.อ่านหนึ่งรอบ แล้วสรุปไม่เปิดหนังสือ
4.เช็คคำตอบ
5.อ่านอีกหนึ่งรอบ
6.สรุปใหม่เปิดหนังสือได้เอาไว้อ่าน
7.ถ้าทำเป็นMind Mappingจะอ่านง่ายขึ้น
8.มีเอกสารอะไรที่ครูแจก อย่าคิดว่าไม่สำคัญ
9.ท่องในส่วนที่ครูพูดย้ำบ่อยๆอย่างน้อย 2ครั้ง/คาบ
10.ก่อนวันสอบห้ามหักโหมอ่านหนังสือถึงเทียงคืน สมองจะไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น

วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เรื่องน่ารู้ : ขนมหวานขึ้นชื่อของแต่ละประเทศ

แครมบรูเล่ (Crème Brulee)
แม้ชื่อจะฟังดูแล้วฝรั่งเศสสุดๆ แต่อย่าเพิ่งด่วนตัดสินว่าเป็นเช่นนั้น เนื่องจากวิทยาลัยทรินิตี้ในเคมบริดจ์ได้อ้างว่าพวกเขาคือต้นตำรับผู้คิดค้นขนมสูตรเด็ดนี้ในช่วงต้นศตวรรษที่ 1600 อย่างไรก็ตาม ถึงจะมีจุดกำเนิดจากอังกฤษ แต่เชื่อแน่ว่าคงไม่มีสถานที่ใดเหมาะแก่การทานคัสตาร์ดเย็นๆ โรยด้วยน้ำตาลไหม้ ได้เท่ากับใต้หอไอเฟลที่ประดับด้วยไฟสว่างไสวในยามค่ำคืนในกรุงปารีส



บาคลาวา (Baklava)

ประวัติที่แท้จริงของบาคลาวายากที่จะระบุให้แน่ชัดเพราะว่ากันว่ามันมีต้นกำเนิดจากจักรวรรดิอ็อตโตมัน ดินแดนเมโสโปเตเมีย และอาหรับ โดยขนมหวานชนิดนี้ทำขึ้นจากการนำแป้งฟิลโลมาสอดไส้ไว้ด้วยถั่ว น้ำผึ้ง หรือน้ำเชื่อม หากต้องการลิ้มลองรสชาติแบบต้นตำรับก็ต้องไปรับประทานถึงถิ่นที่อ้างว่าเป็นจุดกำเนิด ทั้งกรุงอิสตันบูล กรุงเอเธนส์ และกรุงเบรุต แม้แต่ละที่อาจจะมีรสแตกต่างกันไปบ้าง แต่ก็ยังการันตีได้ถึงความเอร็ดอร่อย


กุหลับ จามาน (Gulab Jamen)
ก้อนขนมปังหวานที่คงไม่ถูกปากฝรั่งตาน้ำข้าว แต่คอนเฟิร์มว่าอยู่ในรายชื่อขนมอันดับต้นๆ ของชาวอินเดีย และเมื่อมีคนกว่าพันล้านคนชื่นชอบ ก็ยากจะปฏิเสธได้ว่ามันไม่อร่อย ปกติแล้วมักทำขึ้นโดยใช้ครีมสองชั้นและราด้วยน้ำเชื่อมเข้มข้น เป็นที่นิยมในอินเดีย ปากีสถาน เนปาล และประเทศในแถบเอเชียใต้


นาไนโม บาร์ (Nanaimo Bars)
แคนาดาขึ้นชื่อเรื่องขนมหวาน? ได้ยินแล้วไม่ต่างกับการพูดว่ากรุงเทพขึ้นชื่อเรื่องทะเลยังไงยังงั้น แต่กระนั้น ขนมรสเลิศดังกล่าวก็มีที่มาจากเกาะแวนคูเวอร์ในเมืองนาไนโม รัฐบริติชโคลัมเบีย โดยได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นจากฝีมือแม่บ้านท้องถิ่นซึ่งได้ส่งเจ้าขนมทรงจัตุรัสชิ้นนี้ไปประกวดในนิตยสารและคว้ารางวัลชนะเลิศมาได้ ปัจจุบัน เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนในแถบอเมริกาเหนือ

ไดฟุกุ
ขนมเจลลาตินทรงกลมจากแดนอาทิตย์อุทัยมักสอดไส้ไว้ด้วยถั่วแดงหวาน (และบางครั้งก็อาจเป็นแยมสตอเบอร์รี่) โรยด้วยแป้งบางๆ โดยสามารถหาซื้อมารับประทานได้ทั้งจากกรุงโตเกียว โอซาก้า เกียวโต นากาโนะ และทุกแห่งในญี่ปุ่น



แอปเปิล พาย
เช่นเคย แม้จะฟังดูเป็นอเมริกันจ๋า แต่จริงๆ แล้วมีต้นกำเนิดจากเมืองผู้ดี โดยได้รับการคิดค้นขึ้นเมื่อปี 1381 และปกติจะอบด้วยแป้งสองชั้น ในสมัยก่อน ตอนที่ชาวอังกฤษอพยพมาตั้งรกรากในอเมริกา พวกเขาได้นำเมล็ดแอปเปิลมาปลูกด้วย จึงทำให้มันมีความเกี่ยวพันกับวัฒนธรรมของชาวมะกัน แต่ไม่ว่าจะที่โรงแรมในลอนดอนหรือภัตตาคารในแอลเอ แอปเปิลพายก็เป็นที่ถูกอกถูกใจบรรดาลูกค้าเหมือนกัน



ข้าวเหนียวมะม่วง
ขนมหวานแบบไทยๆ ที่นำมะม่วงสุกเหลืองอร่ามมาทานคู่กับข้าวเหนียวมูนราดด้วยน้ำกะทิ ฟังแล้วชวนน้ำลายสอเป็นอย่างยิ่ง โดยได้รับความนิยมจากทั้งชาวสยามและชาวต่างชาติ ทั้งยังสามารถหาลิ้มลองได้ทั้งที่โรงแรม ห้างสรรพสินค้า ภัตตาคาร และร้านอาหารตามท้องถนนทั่วไป

ทีรามิสุ
เค้กชื่อดังของอิตาลีทำขึ้นจากเลดี้ฟิงเกอร์ราดเอสเปรสโซ่ สอดไส้ด้วยมาสคาร์โปนชีสและซาบากลิออเน ลือกันว่าทีรามิสุมีจุดกำเนิดมาจากการที่แม่บ้านของทหารในสงครามโลกครั้งที่สองทำเค้กให้สามีรับประทาน โดยเชื่อว่าส่วนผสมของคาเฟอีนกับน้ำตาลจะช่วยให้พวกเขามีพลังและแคล้วคลาดจากอันตราย ช่างโรแมนติคเสียนี่กะไร เหมาะจะเป็นของหวานรับวันวาเลนไทน์โดยแท้
ข้าวเหนียวมะม่วง



ฮาโล ฮาโล (Halo Halo)
จานเด็ดของชาวฟิลิปปินส์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไม่แพ้ไข่บาลุท แต่รับประกันได้ว่าไม่น่าสะอิดสะเอียน ทั้งนี้ ฮาโล ฮาโล ไม่มีสูตรการทำที่แน่นอน แต่ดูๆ ไปก็ไม่ต่างอะไรกับน้ำแข็งใสของบ้านเรา โดยนำน้ำแข็งบดมาเติมด้วยเครื่องเคียง เช่น ถั่วเขียว ลูกตาล ขนุน มะพร้าวอ่อน ไอศกรีม วุ้นมะพร้าว สับปะรด และอื่นๆ ก่อนจะปิดท้ายด้วยการราดนมข้นหวานและน้ำเชื่อม โดยสามารถหารับประทานได้ทุกที่ในกรุงมะนิลา
แบล็คฟอเรสท์เค้ก
ด้วยความมีชื่อเสียงในเรื่องชนิทเซล เบียร์ และเค้กรสชาติอร่อยมากมาย จึงไม่น่าแปลกใจที่เยอรมนีจะกลายเป็นสถานที่ดื่ม-กินยอดนิยมของเรา โดยเจ้าช็อกโกแลตเค้กที่ทับซ้อนหลายชั้นด้วยครีม เชอร์รี่ และบรั่นดีผลไม้นี้ถือกำเนิดขึ้นในช่วงต้นยุค 1900 ทางตอนใต้ของเยอรมนี (ภายหลังได้รับการปรุงแต่งให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นด้วยฝีมือของช่างทำเค้กในกรุงเบอร์ลิน) และทุกวันนี้เป็นทื่ชื่นชอบของคนทั่วโลก ซึ่งแน่นอนว่า นี่ก็เป็นหนึ่งในของโปรดของเราเช่นกัน
 
body