ความหมายของ "สวรรคาลัย" ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ได้ให้ความหมายไว้ว่า เป็นคำกริยา หมายถึง เสียชีวิต ซึ่งจะใช้แก่เจ้านายชั้นสูง นอกจากนี้แล้วคำๆ นี้ส่วนใหญ่จะใช้ในการแต่งกลอน ส่วนการใช้คำว่า "ส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย" ซึ่งคนส่วนใหญ่เข้าใจว่า"สวรรคาลัยเป็นสวรรค์ชั้นหนึ่งชั้นใดแต่ความจริงแล้วไม่ใช่ชื่อของชั้นของสวรรค์" ทั้งนี้หากแปลความหมายตรงๆหมายถึง "ส่งเสด็จไปสู่สวรรค์" นั่นเอง
สำหรับสวรรค์ในคติความเชื่อทางพุทธศาสนานั้น นายโอฬาร เพียรธรรม ผู้เขียนหนังสือ ตามหาความจริงวิทยาศาสตร์กับพุทธธรรม และถอดกฎพบกรรม ได้ยกตำราในพระไตรปิฎกมาอธิบายโดยเรียงจากชั้นล่างสุด ประกอบด้วย
1.ชั้นจาตุมหาราชิกา สวรรค์ชั้นนี้อยู่ใกล้ชิดมนุษย์มากที่สุด ประกอบด้วยเทวดาหลากหลายประเภท มีผู้ปกครอง 4 องค์ เรียก จตุโลกบาล โดยองค์แรกคือ ท้าวกุเวร หรือ เวสสุวรรณ อยู่ด้านทิศเหนือ ผู้ปกครององค์ที่ 2 คือ ท้าว วิฬุรหก อยู่ด้านทิศใต้ ผู้ปกครององค์ที่ 3 ชื่อ ท้าววิรูปักษ์ อยู่ทิศตะวันตก ผู้ปกครององค์ที่ 4 ชื่อ ท้าวธตรัฐ อยู่ทิศตะวันออก ปกครองพวก คนธรรพ์ รุกขเทวดา ภูมิเทวดา และ อากาสเทวดา สวรรค์ชั้นนี้ครอบคลุมตั้งแต่ พื้นโลกมนุษย์ขึ้นไปถึงระยะประมาณ 21,000 โยชน์ (คูณด้วย 16 จะออกมาเป็นกิโลเมตร )
2. ชั้นดาวดึงส์เป็นสวรรค์ชั้นที่คนไทยคุ้นชื่อมากที่สุด และมีการพรรณนาถึงความงดงามของสวรรค์ชั้นนี้กันมากมาย ในชั้นนี้ มีสมเด็จพระอมรินทราธิราช หรือ พระอินทร์ เป็นผู้ปกครอง มีสวนสวรรค์อยู่ 4 แห่ง ครอบคลุมทั้ง 4 ทิศ มีชื่อว่า นันทะ จิตรลดา สักกะ และ ผรุสกะ ส่วนที่ตั้งของชั้นดาวดึงส์ ก็อยู่สูงขึ้นไปจากโลก ประมาณ 42,000 โยชน์
3.ชั้นยามาเป็นสวรรค์ที่เพียบพร้อมด้วยความงาม และ ความสุข มากกว่าชั้นดาวดึงส์หลายเท่า ทิพยปราสาท เป็นเงิน และ ทอง มีรัศมีสว่างไสว กายทิพย์ของเทวดาเอง ก็มีรัศมีแผ่รอบกายเช่นกัน ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นนี้ ชื่อ สมเด็จพระสยามเทวาธิราช สำหรับสถานที่ตั้งก็อยู่สูงขึ้นไปจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์อีกประมาณ 42,000 โยชน์
4.ชั้นดุสิตสวรรค์ชั้นนี้ ชั้นดุสิตสวรรค์ชั้นนี้ ก็มีความงดงามตระการตาเพิ่มขึ้น จากสวรรค์ชั้นยามาอีกมากมาย ที่สำคัญก็คือสวรรค์ชั้นนี้ เป็นสถานที่ ที่พระโพธิสัตว์ ผู้ตั้งใจบำเพ็ญบารมี เพื่อจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า จะมาเกิดที่นี่
5.ชั้นนิมมานรดี สวรรค์นี้มีความงดงาม ประณีต เหนือกว่าสวรรค์ชั้นดุสิตขึ้นไปอีก ซึ่งยากจะบรรยาย โดยใช้ภาษาที่พวกเราใช้กันตามปกติ เทพในชั้นนี้ รัศมีเรืองรองสว่างไสว และความพิเศษ ของเทพในชั้นนี้ก็คือ สามารถเนรมิตเอาอะไรก็ได้ ตามแต่ใจปรารถนา ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นนี้ ชื่อ สมเด็จพระสุนิมมิตเทวาธิราช
6.ชั้นปรนิมมิตวสวัตดีเป็นสวรรค์ชั้นสูงสุดในฝ่ายเทวโลก เป็นชั้นที่เทพผู้มาเกิด เสวยสุข ที่ละเอียดอ่อน ยิ่งกว่าชั้นอื่นใด อยากได้อะไร ก็จะมีเทพผู้เป็นบริวารมาคอยเนรมิตให้ ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นนี้ ชื่อ สมเด็จพระปรนิมมิตวสวัตดีเทวาธิราช สถานที่ตั้งก็อยู่สูงขึ้นไปจาก สวรรค์ ชั้น นิมมานรดี อีกประมาณ 42,000 โยชน์
สวรรค์มีอยู่จริงหรือ?
ส่วนคำถามที่ว่ามีหลักฐานอะไรบ้างที่พอจะยืนยันได้ว่าสวรรค์มีจริงนั้น นายโอฬาร ได้เสนอเหตุผลดังนี้
1.ทุกศาสนา มีคำสอนเรื่องสวรรค์ทั้งนั้น รายละเอียดอาจแตกต่างกันไป ถ้าคิดว่าศาสดาทุกคนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ มีบารมีสูง รวมกันแล้ว ทำให้คนทั้งโลกเชื่อ มีศรัทธาได้ แล้วทำไม สวรรค์จะมีจริงไม่ได้
2.ชาวพุทธ ถ้าเชื่อคำสอนพระพุทธเจ้า เชื่อกฎแห่งกรรมโดยลึกซึ้ง ก็จะต้องเชื่อการมีอยู่ ของ วัฏสงสารด้วย เพราะกฎแห่งกรรม ไม่สามารถทำงานครบถ้วน สมบูรณ์ ในชาติ (มนุษย์)เดียว ดังนั้น ชีวิตที่มีกายทิพย์อีก ๒๙ ภพภูมิ คือพวก นรก เปรต ผี เทวดา พรหม จึงต้องมีด้วย เพื่อรองรับการเวียนว่ายตายเกิด จากกรรมต่าง ๆ ที่มนุษย์แต่ละคนทำขึ้น
3.คนทั่วโลกไม่ว่าสมัยใด และนับถือศาสนาใด มีคนเคยเห็นผีมามากมาย ทั้งด้วยตัวเอง และการถ่ายภาพ (ที่เคยเห็นเทวดามีบ้างแต่น้อย) ถ้าผี คือชีวิตที่มีกายทิพย์ค่อนข้างหยาบ เกือบซ้อนกับภพมนุษย์มีจริง ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่เทวดา ซึ่งเป็นกายทิพย์ เช่นกัน แต่ละเอียด ประณีตกว่า จะมีจริงไม่ได้
4.ในทางวิทยาศาสตร์ แต่เดิมอะตอม คือสิ่งละเอียดที่สุด ต่อมาก็พบ นิวตรอน โปรตรอน อีเล็คตรอน และต่อมาก็พบ อนุภาคควอนตัม ที่เล็กกว่านั้นไปอีก ในปัจจุบัน มีทฤษฎี สตริง ที่กล่าวถึง อนุภาคพื้นฐานของจักรวาล ที่เล็กกว่า ควอนตั้ม อีก นับ ล้าน ล้าน ล้าน และอนุภาคละเอียดนี้ จะเกิดได้ในมิติอื่น ๆ นอกเหนือ 4 มิติ ที่เรารู้จักกัน (คำนวณว่าจักรวาล ต้องมี 10-26 มิติ จึงจะรองรับทฤษฎีนี้ได้) ทฤษฎีสตริงนี้ อาจนำไปสู่การพิสูจน์ การมีจริง ของชีวิตกายทิพย์ (หรือโอปปาติกะในพุทธศาสนา ที่อยู่คนละภพภูมิหรือคนละมิติ ถ้าใช้คำทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน)ในอนาคตอันใกล้นี้ก็ได้
*แต่สวรรค์นั้นมนุษย์มองไม่เห็น และสัมผัสด้วยประสาททั้ง 5 ไม่ได้ คนส่วนใหญ่จึงไม่เชื่อว่ามีจริง