วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เรื่องน่ารู้ : เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยศิลปากร #2


สัญลักษณ์ประจำมหาวิทยาลัย

พระพิฆเนศวร เทพเจ้าแห่งศิลปวิทยาการและการประพันธ์ประทับบนเมฆ พระหัตถ์ขวาบนถือตรีศูล พระหัตถ์ขวาล่างถืองาช้าง พระหัตถ์ซ้ายบนถือปาศะ (เชือก) พระหัตถ์ซ้ายล่างถือครอบน้ำ ประทับบนลวดลายกนก ภายใต้มีอักษรว่า "มหาวิทยาลัยศิลปากร" ประกาศใช้เมื่อ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2494
สีประจำมหาวิทยาลัย
เขียวเวอร์ริเดียน เป็นสีของน้ำทะเลระดับลึกที่สุด
เพลงประจำมหาวิทยาลัย
· -
Santa Lucia เป็นเพลงพื้นเมืองของประเทศอิตาลี แต่งขึ้นในราวศตวรรษที่ 19 เป็นบทเพลงที่แต่งขึ้นเพื่อชมความงามของชายหาดที่มีชื่อเสียงของเมืองเนเปิลส์ นอกจากนี้ เพลง Santa Lucia ยังเป็นเพลงประจำมหาวิทยาลัยศิลปากรอีกด้วย สืบเนื่องจาก ศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากร ท่านเป็นชาวอิตาลี ซึ่งมีชื่อเดิมว่า คอร์ราโด เฟโรชี (Corrado Feroci) และชอบร้องเพลงนี้บ่อย ๆ เวลาทำงาน หลังจากนั้น คณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ ได้นำทำนองเพลงนี้ มาใส่เนื้อร้องภาษาไทย โดยใช้ชื่อเพลงว่า "ศิลปากรนิยม"
· -
กลิ่นจัน

วันพุธที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เรื่องน่ารู้ : เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยศิลปากร #1




มหาวิทยาลัยศิลปากร เดิมคือ โรงเรียนปราณีตศิลปกรรม สังกัดกรมศิลปากร ท่านศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศรี (เดิมชื่อ Corrado Feroci) ชาวอิตาเลียน ซึ่งเดินทางมารับราชการในประเทศไทย ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ร่วมกับคุณพระสาโรช รัชตมินมานก์ (สาโรช สุขยางค์) ท่านทั้งสองได้ก่อตั้งโรงเรียนปราณีตศิลปกรรมขึ้นในปีพ.ศ. 2476 ใช้พื้นที่วังกลาง และวังตะวันออก หน้าพระบรมมหาราชวังเป็นที่ตั้งของโรงเรียนแห่งนี้ เปิดสอนให้แก่ข้าราชการและนักเรียนในสมัยนั้นโดยไม่เก็บค่าเล่าเรียน ต่อมาปีพ.ศ. 2478 ได้รวมเอาโรงเรียนนาฏยดุริยางคศาสตร์ ที่ตั้งอยู่วังหน้าไว้ด้วย และเปลี่ยนชื่อใหม่ว่า “โรงเรียนศิลปากร”
โรงเรียนศิลปากรได้เจริญเติบโตเป็นลำดับเรื่อยมา จนกระทั่ง
พระยาอนุมานราชธนร่วมกับอาจารย์ศิลป์ พัฒนาหลักสูตรจนได้รับการยกฐานะขึ้นเป็น มหาวิทยาลัยศิลปากร เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2486 จัดตั้ง คณะจิตรกรรมและประติมากรรม ขึ้นเป็นคณะวิชาแรก (ปัจจุบันคือคณะจิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์) ในปี พ.ศ. 2498 อาจารย์ศิลป์ผลักดันให้เกิดคณะวิชาใหม่ คือ คณะสถาปัตยกรรมไทยซึ่งมี พระพรหมพิจิตร (อู๋ ลาภานนท์) เป็นผู้ก่อตั้ง (ซึ่งต่อมาได้ปรับหลักสูตรและเปลี่ยนชื่อเป็น คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์) คณะโบราณคดี วางรากฐานโดยหลวงบริบาล บุรีภัณฑ์ และต่อมาจึงมี คณะมัณฑนศิลป์ ซึ่งแยกตัวออกมาจากคณะจิตรกรรมฯ จากนั้นได้ขยายพื้นที่มหาวิทยาลัยโดยได้จัดซื้อที่ดินวังท่าพระซึ่งอยู่ติดกับที่ตั้งเดิมจากทายาทสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ต่อมาเมื่อผู้แทนขององค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมของสหประชาชาติได้ให้คำแนะนำในการจัดตั้ง สถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทยให้มีลักษณะสอดคล้องกับหลักการสากล คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาโครงการปรับปรุงมหาวิทยาลัยศิลปากร เพื่อขยายการศึกษาวิชาต่าง ๆ โดยไม่จำกัดเฉพาะศิลปะและโบราณคดีเท่านั้น ศาสตราจารย์ หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปากร จึงได้ ดำเนินการจัดตั้งคณะอักษรศาสตร์ขึ้นเป็นคณะวิชาลำดับที่ 5 และเป็นคณะวิชาแรกของวิทยาเขตแห่งใหม่ คือ วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ ณ จังหวัดนครปฐม โดยเริ่มเปิดสอนนักศึกษารุ่นแรก เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2511 และคณะอักษรศาสตร์ได้ถือวันดังกล่าวเป็นวันสถาปนาคณะฯ ตลอดมา

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เรื่องน่ารู : อ่านหนังสือหนัก เพลียและล้า มีวิธีแก้จ้า


1.แก้ร่างกายเมื่อยขบ เปลี้ยล้า
ใช้การบริหารร่างกาย หรือวิธีโยคะเข้าช่วย เช่น บิดตัวไปทางซ้าย หมุนกลับมาทางขวาช้า ๆ เมื่อยคอให้เงยหน้าช้า ๆ ขึ้นลงหลาย ๆ ครั้ง อาจใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดทั่วใบหน้าและลำคอแรง ๆ แล้ว นวดบางจุดเบา ๆ หรือใช้น้ำลูบหน้าหากอยู่ที่บ้านอาจใช้วิธีดัดตน เช่น นั่งคุกเข่าข้างฝาห้อง หันหน้าออกก้มหัวยันพื้นใช้เท้าไต่ขึ้นบนฝาผนังห้อง จนตัวตั้งตรง ปล่อยเท้าทีละข้างให้เอนไปข้างหน้าช้า ๆ สลับไปมาเลือดจะเข้าสมองมากขึ้น ออกซิเจน จะไปเลี้ยงเซลล์ประสาท เพิ่มขึ้นช่วยแก้ความเปลี้ยล้าได้มาก

2.แก้ความง่วง เบื่อ ไม่อยากอ่าน
ใช้การหายใจช่วย ครั้งแรงพ่นอากาศออกจากปอดผ่านจมูกให้แรงที่สุด จนหมดสิ้นห่อปากให้เป็นรูเล็ก ๆ แล้วพ่นอากาศเสียที่หลงเหลืออยู่ออกไปจนหมด ค่อย ๆ สูดอากาศดีผ่านจมูกเข้าปอดช้า ๆ อาจนับ 1 ถึง 15 ช้า ๆ ให้อากาศอัดแน่น เต็มปอดจนสุดจะหายใจเข้าได้อีก แล้วหายใจออกช้า ๆ เหมือนข้างต้น ทำดังกล่าว 2-3 ครั้ง จะแก้ความง่วง เบื่อการอ่านลงไปได้ (แนะนำว่าถ้าง่วงมากๆ ก็อย่าฝืนนะคะ เพราะหากเรารู้สึกทึบ ๆ หรือไม่สบายในวันสอบก็ทำข้อสอบไม่ได้ดีหรอกค่ะ ให้ฟุบลงซักพัก หรือนอนพักสักชั่วโมงสองชั่วโมงก็ดีนะคะ)
3.แก้ความเปลี้ยของการใช้สายตา
เมื่อใช้สายตานานควรพักเสียบ้าง ให้มองสิ่งที่อยู่ไกลโล่ง ๆ ดูยอดไม้เขียว ๆ มองภาพหรือทิวทัศน์ (ทัศนียภาพ) ที่ห่างออกไปมาก ๆ ถ้าเป็นเวลากลางคืน ให้มองท้องฟ้า ดูดาวอันระยิบระยับ กล้ามเนื้อตาจะค่อย ๆ คลายตัว ถ้าอยู่ในห้องใช้การมองผนังห้องติดรูปภาพทิวทัศน์ต่าง ๆ จะช่วยได้มาก หรือดูทิวทัศน์จากหน้าต่าง มองให้ไกลออกไปให้เต็มที่ (เต็มตา) แล้วหลับตา ทำจิตให้สงบสร้างสมาธิด้วยการหายใจเข้าออกช้า ๆ หายใจเข้าให้เต็ม (ปอด) หายใจออกให้หมด จะช่วยแก้ความเปลี้ยและอาการปวดตาลงได้
 
body